“ไม่อยากลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างเดียวแล้ว แต่ถ้าไปลงทุนเมืองนอกแล้วกำไรหุ้น แต่ขาดทุนค่าเงิน สุดท้ายจะเหลืออะไร?”
และ
“ผมควรซื้อกองทุนแบบป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (Fully Hedged) หรือปล่อยไหลตามธรรมชาติ (Unhedged) ดีครับ?”
… นี่คือคำถามยอดฮิตที่ทำให้นักลงทุนไทยหลายคนยังกล้าๆ กลัวๆ ที่จะพาเงินออกไปเติบโตในต่างประเทศ และเป็นคำถามที่ SiamQuant ได้รับค่อนข้างบ่อยเมื่อพูดถึงเรื่องของการลงทุนในต่างประเทศแทบทุกครั้ง เราจึงอยากที่จะตอบคำถามเหล่านี้ผ่านบทความนี้ ด้วยข้อมูลจากการวิจัยถึงผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินในการลงทุนต่างประเทศของพวกเรากันครับ
1. “ค่าเงิน” ความเสี่ยงที่มักถูกมองข้ามของการลงทุนในต่างประเทศ
ในยุคที่ตลาดการเงินเชื่อมโยงถึงกันทั่วโลกนั้น การลงทุนในต่างประเทศก็เริ่มที่จะไม่ใช่ทางเลือกในการลงทุนอีกต่อไป แต่มันกลับกลายเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนไทยในปัจจุบัน ที่ต้องการสร้างพอร์ตการลงทุนที่แข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะการจำกัดการลงทุนอยู่แค่ในประเทศไทยนั้น จะเปรียบเสมือนกับการปิดกั้นโอกาสในการเข้าถึงแหล่งผลตอบแทนที่หลากหลาย และมีศักยภาพในการกระจายความเสี่ยงในโลกที่ไร้พรมแดนในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในต่างประเทศก็มาพร้อมกับความท้าทายในหลายๆมิติด้วยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินระหว่างประเทศ (Currency Risk) นั่นจึงหมายความว่า สำหรับนักลงทุนไทยที่ไปทำการลงทุนในต่างประเทศนั้น ผลตอบแทนสุดท้ายในรูปของเงินบาทไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของตลาดหุ้นสหรัฐฯเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินประเทศนั้นๆด้วยเช่นเดียวกันนั่นเอง
ดังนั้นแล้ว เมื่อความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเป็นส่วนหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของการลงทุนในต่างประเทศ รวมไปถึงการจัดพอร์ตการลงทุนทั่วโลกแบบ Global Strategic Asset Allocation (GSAA) การทำความเข้าใจถึงผลกระทบของค่าเงินจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้เราสามารถควบคุมและเลือกกลยุทธ์ในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากค่าเงินที่เหมาะสมกับตนเองได้อย่างเหมาะสมที่สุดกันนั่นเอง
2. ผลกระทบจากค่าเงิน และแนวทางการจัดการความเสี่ยงค่าเงิน
2.1 ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน
ในการทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินว่ามีผลกระทบได้อย่างไรและมากแค่ไหนนั้น ในบทความนี้จะขอพูดถึงอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินระหว่างสกุลเงินดอลลาร์และเงินบาทเป็นหลัก (USD/THB) เนื่องจากสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีค่าเงินเป็นสกุลเงินหลักของโลก และเป็นประเทศที่เป็นศูยน์กลางในการลงทุนต่างประเทศของนักลงทุนไทยในปัจจุบันกันนั่นเอง
โดยที่กุญแจสำคัญในการบริหารความเสี่ยงจากการลงทุนในต่างประเทศนั้น ก็คือการทำความเข้าใจแนวคิดหลักที่ว่า
ทุกการลงทุนในต่างประเทศนั้น คือการลงทุนในสินทรัพย์สองอย่างในเวลาเดียวกัน นั่นก็คือ:
- การลงทุนในตัวสินทรัพย์นั้นๆ
- การลงทุนในค่าเงินของประเทศที่เราไปทำการลงทุนนั่นเอง
(Every international investment is two investments: one in the security itself and the one in the currency.)
นั่นจึงหมายความว่าผลตอบแทนสุดท้ายในรูปเงินบาทของนักลงทุนไทย จะไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของหุ้นสหรัฐฯเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวและทิศทางของค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯกันอีกด้วย
และเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เราจึงอยากให้คุณได้ลองพิจารณาตัวอย่างสมมติของนักลงทุนไทยที่ซื้อหุ้นในดัชนี S&P 500 ดังตารางต่อไปนี้ ซึ่งความไม่แน่นอนเหล่านี้มักถูกเรียกกันว่า “ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Risk หรือ Exchange-rate Risk)” ซึ่งเป็นปัจจัยที่นักลงทุนต้องตระหนักและบริหารจัดการอย่างรอบคอบ เพื่อให้เข้าใจผลกระทบนี้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
| กรณีค่าเงินบาทแข็งค่า (USD อ่อนค่า) | กรณีค่าเงินบาทอ่อนค่า (USD แข็งค่า) |
| 1. นักลงทุนนำเงินบาทไปแลกเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อซื้อหุ้น | 1. นักลงทุนนำเงินบาทไปแลกเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อซื้อหุ้น |
| 2. หนึ่งปีผ่านไป หุ้น S&P 500 ให้ผลตอบแทน +10% ในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ | 2. หนึ่งปีผ่านไป หุ้น S&P 500 ให้ผลตอบแทน +10% ในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ |
| 3. แต่ ในช่วงเวลาเดียวกัน เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง -5% เมื่อเทียบกับเงินบาท (เงินบาทแข็งค่าขึ้น) | 3. และ ในช่วงเวลาเดียวกัน เงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น +5% เมื่อเทียบกับเงินบาท (เงินบาทอ่อนค่าลง) |
| 4. เมื่อขายหุ้นและแลกเงินกลับมาเป็นบาท ผลตอบแทนสุทธิจะอยู่ที่ +4.5% (1.10 x 0.95) – 1 = 0.045 |
4. เมื่อขายหุ้นและแลกเงินกลับมาเป็นบาท ผลตอบแทนสุทธิจะอยู่ที่ +15.5% (1.10 x 1.05) – 1 = 0.155 |
ตารางที่ 1: ตารางอธิบายตัวอย่างของผลกระทบจากค่าเงินในการนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา
โดยที่ภาพและตารางต่อไปนี้ จะแสดงให้เห็นถึงอัตราผลตอบแทนและความเสี่ยงจริงๆ ที่นักลงทุนไทยได้เคยพบเจอจากการนำเงินบาทไปลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

ภาพที่ 1: อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน USD/THB และผลตอบแทนสะสมจากการนำเงินบาทไปลงทุนยังประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005-2025
| Portfolio Metrics | THB-Exchange Rate |
| Cumulative Profit | -0.02 |
| Annualized Return % (CAGR) | -0.18 |
| Ann. StDev | 6.46 |
| Max DD % | -18.57 |
| Longest DD (Months) | -81.29 |
ตารางที่ 2: สถิติอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน USD/THB และผลตอบแทนจากการนำเงินบาทไปลงทุนยังประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005-2025
2.2 แนวทางในการจัดการความเสี่ยงค่าเงิน (Unhedge vs. Hedge)
หลังจากที่เราได้เข้าใจและรับทราบถึงผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินกันไปแล้วนั้น สิ่งสำคัญในลำดับถัดไปก็คือคำที่ว่า
“แล้วเราจะบริหารจัดการความเสี่ยงค่าเงินเหล่านี้กันอย่างไรดีกันล่ะ?”
นั่นหมายความว่าในการแก้ไขปัญหาความเสี่ยงที่เกิดขึ้นนี้ คุณจะต้องเผชิญกับทางเลือกเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญนั่นก็คือ คุณจะยอมรับความผันผวนของค่าเงินที่เกิดขึ้น (Embrace) หรือจะหาวิธีการจำกัดผลกระทบนั้นให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดแทน (Neutralize)
ซึ่งแน่นอนว่าหากคุณเลือกที่จะทำการลงทุนด้วยตัวเองนั้น การยอมรับต่อความผันผวนและผลกระทบจากค่าเงินที่จะต้องเกิดขึ้น ก็คงจะเป็นทางเลือกหลักๆที่คุณจะสามารถทำได้โดยง่าย แต่หากว่าคุณเลือกที่จะทำการลงทุนผ่านกองทุนต่างๆแทนนั้น คุณก็อาจจะมีทางเลือกในการบริหารจัดการความเสี่ยงค่าเงินสำหรับการการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยการเลือกกองทุนที่จะปกป้องความเสี่ยงหรือไม่ปกป้องความเสี่ยงค่าเงินนั่นเอง
โดยที่เนื้อหาในส่วนต่อไปนี้ จะอธิบายถึงสองแนวทางหลักในการบริหารจัดการความเสี่ยงค่าเงิน ที่คุณและนักลงทุนรายบุคคลโดยทั่วไปจะสามารถที่จะเลือกพิจารณาได้ ได้ผ่านกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคลบางแห่งครับ
2.2.1 กลยุทธ์ Un-Hedged การเลือกที่จะไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน
โดยที่แนวทาง Un-Hedged นี้ คือการเปิดรับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเต็มที่ ซึ่งผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับจึงเป็นผลรวมโดยตรงระหว่าง ผลการดำเนินงานของสินทรัพย์ในสกุลเงินท้องถิ่น บวกกับ การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินสกุลนั้นเมื่อเทียบกับเงินบาท นั่นหมายความว่า หากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินบาท นักลงทุนจะได้กำไรจากส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากผลตอบแทนของสินทรัพย์ แต่ในทางกลับกัน หากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ก็จะทำให้ผลตอบแทนโดยรวมลดลงเช่นกัน กลยุทธ์นี้จึงเป็นการเพิ่มอีกหนึ่งชั้นของความผันผวนเข้ามาในพอร์ต
2.2.2 กลยุทธ์ Hedged การเลือกที่จะป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน
สำหรับแนวทาง Hedged นี้นั้น มีเป้าหมายเพื่อ “ล็อก” หรือ “กำจัด” ผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนที่มีต่อผลตอบแทนออกไป โดยกองทุนจะใช้เครื่องมือทางการเงิน อาทิเช่น สัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Currency Forwards) หรือ สวอป (Swaps) หรือสัญญาฟิวเจอร์ส (Futures) เพื่อป้องกันความเสี่ยง โดยมุ่งหวังให้ผลตอบแทนของนักลงทุนใกล้เคียงกับผลการดำเนินงานของสินทรัพย์อ้างอิงในสกุลเงินท้องถิ่นมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม การป้องกันความเสี่ยงด้วยการทำ Currency Hedging เหล่านี้ มักจะมี ต้นทุนการป้องกันความเสี่ยง (Hedging Cost) ในการดำเนินการ ซึ่งจะกลายเป็นต้นทุนที่ถูกหักออกจากผลตอบแทนในการลงทุนอยู่เสมอ โดยต้นทุนเหล่านี้จะมากหรือน้อยเท่าไหร่นั้น จะมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองสกุลเงินในแต่ละช่วงเวลา (ในกรณีนี้คือ USD และ THB) จนอาจทำให้พอร์ตการลงทุนเกิดต้นทุนที่สูงขึ้นมากในบางช่วงเวลาที่อัตราดอกเบี้ยต่างประเทศสูงกว่าประเทศไทยได้เช่นเดียวกัน
แต่ในทางกลับกันนั้น ด้วยการที่เราเลือกที่จะ “ล้อก” หรือ “กำจัด” ผลกระทบของค่าเงินออกไปให้มากที่สุด นั่นจึงอาจทำให้นักลงทุนพลาดโอกาสที่จะได้รับกำไรเพิ่มเติมจากค่าเงิน หากค่าเงินเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์ได้เช่นเดียวกันด้วย
2.2.3 ตารางเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียเชิงกลยุทธ์ของการ Unhedge vs. Hedged
| หัวข้อเปรียบเทียบ | Unhedged (ไม่ป้องกันความเสี่ยง) | Hedged (ป้องกันความเสี่ยง) |
| เป้าหมายหลัก | ยอมรับความผันผวนเพื่อผลตอบแทนรวมระยะยาวและการกระจายความเสี่ยง | กำจัดความผันผวนค่าเงินเพื่อโฟกัสผลตอบแทนจากตัวสินทรัพย์เพียงอย่างเดียว |
| ข้อดี (Pros) | ✅ มีโอกาสได้กำไรจากค่าเงิน: ได้กำไรจากแข็งค่าของเงินดอลลาร์ ✅ ไม่มีต้นทุนแฝง: ประหยัดค่าใช้จ่ายในการทำสัญญา Hedge |
✅ ลดความผันผวนไม่แน่นอนจากค่าเงิน: รู้ผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับสินทรัพย์ที่ลงทุนจริง ✅ ป้องกันขาลงของค่าเงิน: ล็อคมูลค่าพอร์ตหากเงินบาทแข็งค่าขึ้นรุนแรง |
| ข้อเสีย (Cons) | ❌ ความผันผวนสูง: มูลค่าพอร์ตแกว่งตัวรายวันตามอัตราแลกเปลี่ยน ❌ มีโอกาสขาดทุนจากค่าเงิน: หากบาทแข็งค่าขึ้นยาวนานจะฉุดผลตอบแทนรวมลง |
❌ มีต้นทุนในการ Hedged: มีต้นทุนในการปกป้องความเสี่ยงของพอร์ตตลอดเวลา ❌ ต้นทุนที่ไม่แน่นอนในการ Hedged: หากดอกเบี้ยต่างประเทศสูงกว่าไทย จะทำให้ต้นทุนในการปกป้องความเสี่ยงสูงขึ้นและกัดกินผลตอบแทนตลอดเวลา |
ตารางที่ 3: ตารางเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียเชิงกลยุทธ์ของการปกป้องความเสี่ยงค่าเงินในรูปแบบ Unhedged vs. Hedged
โดยที่เนื้อหาในส่วนต่อไปหลังจากนี้นั้น เราจะทำการวิจัยทดสอบถึงผลกระทบของค่าเงินจริงๆ เมื่อเรานำเงินไปลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกากัน เพื่อที่จะช่วยทำให้คุณเกิดความเข้าใจผลกระทบของทั้งสองกลยุทธ์ได้อย่างลึกซึ้ง และสามารถตัดสินใจได้ว่าวิธีการจัดการความเสี่ยงค่าเงินแบบไหนที่จะเหมาะกับเป้าหมายและความสามารถในการแบกรับความเสี่ยงในการลงทุนของคุณได้ดีที่สุดกันครับ
3. สมมติฐานและรายละเอียดการวิจัยทดสอบ (Research Methodology & Backtest Settings)
สำหรับการวิจัยทดสอบทฤษฎีและกลยุทธ์การลงทุนในบทความนี้นั้น SiamQuant จะทำการกำหนดสมมติฐานและเงื่อนไขของการวิจัยให้มีความเข้มงวดในระดับหนึ่ง (ไม่ใช่ในเชิงทฤษฎี) เพื่อให้สมจริงกับการนำไปประยุกต์ใช้และทำการลงทุนของนักลงทุนส่วนบุคคล (Individual Investor Backtesting Conditions) และเพื่อให้เกิดประโยชน์และสะท้อต่อมุมมองของผู้อ่านโดยทั่วไปมากที่สุดดังต่อไปนี้
| Condition | Details |
| Backtest Window | ค.ศ. 2015-2025 เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่มีข้อมูลในการทดสอบที่ครบถ้วนทั้งในแง่ของ ETF ที่เป็นตัวแทนสินทรัพย์ต่างๆ USD/THB Currency เพื่อใช้คำนวณผลกระทบจากค่าเงิน USD Futures เพื่อใช้คำนวณผลกระทบการทำ Hedging |
| Backtest Setting | เงินทุนเริ่มต้น: 1 ล้านบาท ค่า Commission: 0.25%/Trade (รวม 0.5% ไปกลับ) ค่า Slippage: 0.25%/Trade (รวม 0.5% ไปกลับ) ภาษีกำไรจากการลงทุน ตปท: ไม่มีผลกระทบ ค่าเงิน: ได้รับผลกระทบจากค่าเงิน USD/THB สัญญา USD Futures : ถูกปรับปรุงย้อนหลังแบบ Panama Back-adjusted เพื่อให้สะท้อนต้นทุนในการเปลี่ยนสัญญา (Roll Over) ในแต่ละช่วงระยะเวลา |
| Universe | กองทุนรวมดัชนี ETF ที่เป็นตัวแทนของสินทรัพย์การลงทุน |
| Entry Filter | ไม่มีการคัดกรองเพิ่มเติม |
| Entry Conditions | ทำการเข้าซื้อตั้งแต่วันแรก |
| Exit Conditions | ไม่มีการขายออก โดยจะถือไว้ตลอดช่วงระยะเวลาของการทดสอบ |
| Position Size & Money Mgnt. | กรณีที่ไม่มีการปกป้องความเสี่ยงของค่าเงิน จะทำการลงทุนในสินทรัพย์ด้วยเงินลงทั้งหมดที่มี (Position Size 100%) กรณีที่มีการปกป้องความเสี่ยงของค่าเงิน จะทำการลงทุนในสินทรัพย์ด้วยสัดส่วนการลงทุน 95% และใช้เงิน 5% สำหรับการปกป้องความเสี่ยงของค่าเงิน |
| Risk Management | ไม่มีการจัดการความเสี่ยงความเพิ่มเติม |
| Order Type | ซื้อและขายในวันทำการถัดไปหลังจากเกิดสัญญาณ |
| Monitoring Time Frame | ติดตามและตรวจสอบเป็นรายวัน |
ตารางที่ 4: สมมติฐานและรายละเอียดในการวิจัยทดสอบกลยุทธ์การจัดพอร์ตการลงทุนกับข้อมูลย้อนหลัง
4. ผลลัพธ์และการวิเคราะห์ (Results & Analysis)

ภาพที่ 2: ผลตอบแทนของการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะสั้น 1-3 เดือนผ่านกองทุนดัชนี ETF BIL ทั้งในรูปแบบสกุลเงินดอลลาร์ที่ยังโดนผลกระทบจากค่าเงิน (USD Base), แบบไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (UnHedged) และแบบป้องกันความเสี่ยงค่าเงินอย่างสมบูรณ์ (Fully Hedged)
| Portfolio Metrics | BIL-USD | BIL-UnHedged | BIL-FullyHedge |
| Cumulative Profit | 0.17 | 0.11 | 0.04 |
| Annualized Return % (CAGR) | 1.49 | 0.97 | 0.34 |
| Ann. StDev | 0.42 | 6.37 | 6.87 |
| Max DD % | -0.36 | -17.86 | -8.57 |
| Longest DD (Months) | -27 | -80.95 | -88.43 |
| MAR Ratio | 4.14 | 0.05 | 0.04 |
| Ann. Sharpe (Rf = 3%) | -5.99 | -0.39 | -0.44 |
| Sortino Ratio | -0.24 | -0.02 | -0.03 |
| Correlation with BIL-USD | 1 | 0.0441 | 0.062 |
ตารางที่ 5: สถิติผลตอบแทนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะสั้น 1-3 เดือนผ่านกองทุนดัชนี ETF BIL ทั้งในรูปแบบสกุลเงินดอลลาร์ที่ยังโดนผลกระทบจากค่าเงิน (USD Base), แบบไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (UnHedged) และแบบป้องกันความเสี่ยงค่าเงินอย่างสมบูรณ์ (Fully Hedged)
โดยจากข้อมูลผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนดัชนีพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะสั้นหรือ BIL ทั้ง 3 รูปแบบนั้น จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า
- ผลตอบแทนต้นทางในสกุลเงินดอลลาร์ของ BIL-USD นั้น มี CAGR ที่ราว 1.49% ต่อปีในช่วง 10 ที่ผ่านมา โดยมีค่าความผันผวนของพอร์ต Annualized Standard Deviation ที่ราว 0.42% และค่า Maximum Drawdown ที่ราว -0.36% เท่านั้น
- อย่างไรก็ตาม เมื่อเราแปลงผลตอบแทนในสกุลเงินดอลลาร์ย้อนกลับมาเป็นค่าเงินบาท ทั้งในรูปแบบ Un-Hedged และ Fully-Hedged นั้น เราจะเห็นได้ว่าผลกระทบจากค่าเงินได้ทำให้คุณลักษณะของผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุนดัชนี ETF BIL เปลี่ยนไปอย่างมาก โดยจะสังเกตได้จากค่า Correlation กับผลตอบแทนของ BIL-USD ที่เหลือเพียงราวๆ 0.04-0.06 เท่านั้น ซึ่งหมายความได้ว่าผลตอบแทนที่แปลงกลับเป็นเงินบาทแทบไม่มีความสัมพันธ์กับผลตอบแทนในสกุลเงินดอลลาร์เลย
- สำหรับข้อสังเกตุที่สำคัญสำหรับการไม่ป้องความเสี่ยงค่าเงินแบบ Un-Hedged นั้น จะเห็นได้ว่าพอร์ตการลงทุนจะมีความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้น จากทั้งความผันผวนของพอร์ต (Ann.StDev), ค่าอัตราการถดถอยสูงสุดของพอร์ต (Max.DD) รวมถึงค่าระยะเวลาในการกลับมาคืนทุนจากจุดสูงสุด (Longest.DD) โดยที่มีค่าผลตอบแทนทบต้นต่อปีที่ลดลงเหลือเพียงราว 0.97% ต่อปี
- สำหรับข้อสังเกตุที่สำคัญสำหรับการปกป้องความเสี่ยงค่าเงินแบบ Fully-Hedged นั้น จะเห็นได้ว่าพอร์ตการลงทุนจะมีความเสี่ยงจากทั้งความผันผวน (Ann.StDev) และค่า Max.DD ที่ต่ำกว่าการ Un-Hedged อยู่พอสมควร อย่างไรก็ตาม เราจะพบเห็นได้ว่าผลตอบแทนทบต้นได้ลดลงไปเหลือเพียงราวๆ 0.34% ต่อปีเท่านั้น ซึ่งเกิดขึ้นจากต้นทุนในการปกป้องความเสี่ยงที่สูงมากขึ้นในช่วงหลัง จากการที่อัตราดอกเบี้ยต่างประเทศสูงกว่าประเทศไทยเป็นอย่างมากนั่นเอง
5. บทสรุปผลกระทบของค่าเงินในการลงทุนต่างประเทศ และทางเลือกในการบริหารจัดการความเสี่ยงค่าเงิน
จากข้อมูลที่ SiamQuant ได้ทำค้นคว้าและอธิบายออกมาในเชิงทฤษฎี รวมถึงการวิจัยทดสอบย้อนหลังทางเลือกในการบริหารจัดการความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินออกมาทั้งหมดนั้น เราจึงสามารถสรุปได้โดยง่ายดังนี้ว่า
ไม่ว่าจะเป็นทางเลือกในการบริหารจัดการความเสี่ยงค่าเงินแบบใด ค่าเงินก็จะมีผลกระทบที่มีนัยยะสำคัญต่อพอร์ตการลงทุนอยู่เสมออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในระยะยาว โดยที่ทางเลือกในการไม่ปกป้องความเสี่ยงแบบ Un-Hedged นั้น ก็มักที่จะทำให้พอร์ตการลงทุนต้องพบกับความเสี่ยงระหว่างการลงทุนที่มากขึ้น แต่ก็อาจจะได้รับประโยน์จากอัตราแลกเปลี่ยนหากตลาดเอื้ออำนวย ในทางกลับกันแล้ว พอร์ตการลงทุนที่ปกป้องความเสี่ยงแบบ Fully Hedge ก็มักที่จะมีความเสี่ยงระหว่างการลงทุนที่น้อยลง แต่ก็อาจต้องชดเชยด้วยการสูญเสียกำไรไปจากต้นทุนในการ Hedging ด้วยเช่นเดียวกัน
ดังนั้นแล้ว ทางเลือกที่ดีและเหมาะสมที่สุดจึงขึ้นอยู่กับเป้าหมายในการลงทุน และความสามารถในการแบกรับความเสี่ยงของนักลงทุนแต่ละคนนั่นเอง โดยหากว่าคุณไม่ต้องการที่จะเผชิญความผันผวนในระหว่างการลงทุนต่างประเทศที่สูง คุณควรจะเลือกทางเลือกในการปกป้องความเสี่ยงค่าเงิน แต่หากคุณสามารถรับกับความเสี่ยงและความผันผวนได้มากขึ้น คุณอาจะทำการเลือกไม่ปกป้องความเสี่ยงเลย เพื่อลุ้นโอกาสได้รับผลตอบแทนส่วนเสริมจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินได้เช่นเดียวกัน
ทั้งนี้นั้น หากคุณคิดว่ายังไม่พอใจทั้งกับ 2 ทางเลือกนี้ ซึ่งก็คือการ Un-Hedged และ Fully-Hedged คุณก็อาจจะลองมองหาวิธีการหรือกองทุนที่ใช้วิธีการปกป้องความเสี่ยงเพียงบางส่วนแบบ Partial Hedged หรือการปกดป้องความเสี่ยงแบบยืดหยุ่นแบบ Dynamic Hedged ดูเพิ่มเติมอีกทีหนึ่ง
หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์กับทุกท่านไม่มากก็น้อยกันนะครับ เจอกันใหม่บทความหน้าครับ 😃
