Close Menu
SiamQuantSiamQuant
    Facebook YouTube
    Facebook YouTube
    SiamQuantSiamQuant
    ติดต่อเรา
    • กองทุนส่วนบุคคล
    • บทความและงานวิจัย
    • ร่วมงานกับเรา
      • รายละเอียดการรับสมัครทีมงาน
      • Researcher
      • Developer
      • Operations
      • Marketer
    • เกี่ยวกับเรา
      • เกี่ยวกับ SiamQuant
      • นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy)
    • มุมสมาชิก
      • บัญชีของฉัน
      • AlphaClass Video Courses
      • AlphaSuite Installer & Manual
    SiamQuantSiamQuant
    Facebook YouTube
    Home»งานวิจัยและบทความทั้งหมด»บทความแปลและสรุป»Enterprise Multiple สูตรชนะตลาดหุ้นของ Tobias Carlisle
    บทความแปลและสรุป

    Enterprise Multiple สูตรชนะตลาดหุ้นของ Tobias Carlisle

    SiamQuant TeamBy SiamQuant TeamFebruary 23, 2016Updated:May 1, 20192 Comments3 Mins Read
    2.7k
    SHARES
    2.7kFacebookXLine

    แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงอัตราส่วนทางปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญและเป็นที่รู้จักกันมาอย่างยาวนานสำหรับนักลงทุนโดยทั่วไปแล้วละก็ มันคงหนีไม่พ้นตัวแปรยอดนิยมอย่าง Price-to-Earning (P/E) หรือ Price-to-Book Value (P/BV) แต่ในวันนี้เราจะมาเจาะลึกเกี่ยวกับอัตราส่วน Enterprise Multiple จากงานวิจัยของ Tobias Carlisle ที่หลายๆคนอาจยังไม่ค่อยรู้จักกันดูบ้าง แล้วคุณจะพบว่าอัตราส่วนทางการเงินบางอย่างที่คุณนึกไม่ถึง… อาจให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าอัตราส่วนเดิมๆที่คุณเคยรู้จักก็เป็นได้!

    Table of Contents

    Toggle
    • ก่อนอื่นเลย … Tobias Carlisle คือใคร?
    • จุดเริ่มต้นของแนวคิด และที่มาของประสิทธิภาพจากอัตราส่วน Enterprise Value
    • มาเริ่มต้นทำความรู้จักกับอัตราส่วน Enterprise Multiple กันเถอะ
    • อัตราส่วน Enterprise Value กับหลักฐานการชนะตลาดหุ้น
    • Enterprise Multiple กับบทสรุปกับตลาดหุ้นไทย

    ก่อนอื่นเลย … Tobias Carlisle คือใคร?

    หลายคนอาจจะยังสงสัยว่า Tobias Carlisle นั้นเป็นใครมาจากไหน? ดังนั้นก่อนที่จะเริ่มต้นเนื้อหา เราจะพาทุกคนไปรู้จักเรื่องราวและดีกรีชื่อชั้นของชายคนนี้กันก่อนครับ โดยที่ประวัติของ Tobias Carlisle นั้นเป็นผู้ก่อตั้งและบริหารกองทุน Carbon Beach Asset Management, LLC รวมถึงเป็นเจ้าของเว็บไซต์ที่เผยแพร่ความรู้ด้านการลงทุน ทั้งในเรื่องของแนวคิดและกลยุทธ์การลงทุน รวมถึงงานวิจัยต่างๆภายใต้ชื่อ Greenbackd ครับ แต่สิ่งที่ทำให้ Tobias เป็นที่รู้จักอย่างมากก็คือ การเป็นที่รู้จักในฐานะผู้เขียนหนังสือชื่อดังอย่าง “Quantitative Value: A Practitioner’s Guide to Automating Intelligent Investment and Eliminating Behavioral Errors” และ “Deep Value: Why Activists Investors and Other Contrarians Battle for Control of Losing Corporations” ซึ่งเป็นเรื่องราวและเนื้อหาเกี่ยวกับการลงทุนอย่างเป็นระบบด้วยปัจจัยพื้นฐานต่างๆนั่นเอง นอกจากนี้แล้ว Tobias Carlisle ยังเคยเป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุนให้กับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศออสเตรเลีย (Australian Stock Exchange) อีกด้วย ดังนั้นเมื่อมองในแง่ของประสบการณ์และความรู้แล้วถือว่าน่าสนใจไม่น้อย เพียงแต่นักลงทุนไทยอาจจะยังไม่ค่อยรู้จักกันเท่าไหร่เท่านั้นเองครับ

    QV+DV

    ภาพที่ 1 : แสดงรูปหน้าปกหนังสือ “Quantitative Value” และ “Deep Value” ของ Tobias Carlisle

    จุดเริ่มต้นของแนวคิด และที่มาของประสิทธิภาพจากอัตราส่วน Enterprise Value

    หากจะพูดถึงจุดเริ่มต้นของแนวคิดและที่มาของอัตราส่วน Enterprise Multiple นั้น เราคงจะต้องย้อนกลับไปในปี 1993 ซึ่งศาสตราจารย์ Eugene Fama และ Kenneth French นักวิจัยตลาดชื่อดังจากมหาวิทยาลัย University of Chicago ได้ตีพิมพ์งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาต่อยอด Financial Model หรือแบบจำลองทางการเงินชื่อดังอย่าง Capital Asset Pricing Model (CAPM) รูปแบบเดิม ซึ่งอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างผลตอบแทนของหุ้นกับผลตอบแทนของตลาด โดยพวกเขาได้เพิ่ม 2 ตัวแปรที่มีผลกระทบต่อผลตอบแทนของหุ้นเข้าไป คือ ตัวแปรเกี่ยวกับขนาด (Size) และตัวแปรเกี่ยวกับมูลค่า (Value) จนได้แบบจำลองใหม่ที่ชื่อว่า

    “Fama-French Three Factor Model”

    ซึ่งพวกเขาได้พบว่าหุ้นที่มีมูลค่าตามราคาตลาดหน้อย (Small Cap.) มักที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นที่มีมูลค่าตามราคาตลาดมาก และหุ้นที่มีอัตราส่วนมูลค่าตลาดต่อมูลค่าทางบัญชีต่ำ (Low Price-to-Book or P/BV) ก็มักที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า หุ้นที่มีอัตราส่วนมูลค่าตลาดต่อมูลค่าทางบัญชีสูงเช่นเดียวกัน

    อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเนื้อหาในแบบจำลองจะใช้ค่า P/BV เพื่อวัดมูลค่าความถูกแพงของหุ้นเป็นหลัก แต่ใจความสำคัญของมันอยู่ที่การอธิบายถึงอิทธิพลของปัจจัยพื้นฐานต่างๆของบริษัทที่มีความสัมพันธ์กับมูลค่า (Value) และผลตอบแทนของราคาหุ้น (Price Return) ดังนั้นการใช้ค่า P/BV จึงเป็นเพียง 1 ในปัจจัยพื้นฐานที่ใช้เป็นตัวแทนเท่านั้น เรายังสามารถขยายขอบเขตให้กว้างออกเป็น Price-to-Fundamental และหาปัจจัยพื้นฐานอื่นๆมาใช้เป็นตัวแทนในการหามูลค่าหุ้นออกมาได้เช่นกัน (Value) ยกตัวอย่างเช่น กำไรของบริษัท (Earning) หรือกระแสเงินสดอิสระของบริษัท (Free Cash Flow) เป็นต้น

    ดังนั้นเราจึงสามารถสรุปได้ว่าตัวแปรในกลุ่ม Price-to-Fundamental แท้ที่จริงแล้วก็คือ ตัวแปรที่ช่วยในการเปรียบเทียบระหว่างมูลค่าของกิจการกับปัจจัยพื้นฐานต่างๆที่สำคัญของบริษัท เพื่อสะท้อนถึงมูลค่าความถูก-แพงที่แท้จริงของหุ้นในช่วงเวลานั้นให้ได้มากที่สุด ซึ่งแน่นอนว่า Enterprise Multiple ก็คืออัตราส่วนหนึ่งที่อยู่ในหนวดนี้นั่นเองครับ

    มาเริ่มต้นทำความรู้จักกับอัตราส่วน Enterprise Multiple กันเถอะ

    แล้ว Enterprise Multiple คืออัตราส่วนอะไรกันแน่!?

    แท้จริงแล้ว Enterprise Multiple ก็คือชื่อของอัตราส่วนทางการเงินรูปแบบหนึ่งที่ถูกคำนวณจากค่า EV/EBIT โดยถูกเรียกชื่อตามหนังสือ “Deep Value” ที่ Tobias Carlisle ได้เขียนเอาไว้นั่นเองครับ ซึ่งความน่าสนใจของมันก็คือตามผลงานวิจัยของ Tobias Carlisle นั้น มันถือเป็นอัตราส่วนและเครื่องมือชิ้นสำคัญที่ใช้ในการค้นหา “หุ้นที่มีราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงตามปัจจัยพื้นฐาน (Undervalue)” ได้ดีกว่าอัตราส่วนอื่นๆหลายๆตัวที่เราคุ้นเคยกัน ไม่ว่าจะเป็น P/E, P/BV และอัตราส่วน Price-to-Fundamental ตัวอื่นๆค่อนข้างมาก นอกจากนี้แล้วมันยังสามารถที่จะคำนวณได้อย่างไม่ยากเย็นนัก โดยที่ตัวแปร Enterprise Multiple สามารถคำนวณจากสูตรต่อไปนี้

    Enterprise Multiple = Enterprise Value / EBIT

    โดย

    • Enterprise Value (EV) คือ มูลค่าของบริษัท ซึ่งสามารถคำนวณได้จากสูตรด้านล่าง
    • EBIT คือ กำไร (ขาดทุน) ก่อนต้นทุนทางการเงินและภาษีเงินได้

    Enterprise Value = Maket Cap. + Total Liabilities – Total Cash

    โดย

    • Market Cap. คือ มูลค่าหุ้นตามราคาตลาด
    • Total Liabilities คือ หนี้สินรวมทั้งหมด
    • Total Cash คือ เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดรวมทั้งหมด

    Tobias Carlisle ได้อธิบายถึงแนวคิดเบื้องหลังของอัตราส่วน Enterprise Multiple เอาไว้ว่าอัตราส่วนดังกล่าว สามารถค้นหาหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่า (Undervalue) ได้ดีกว่าตัวแปรอื่นที่นักลงทุนทั่วไปคุ้นเคย เนื่องจากเหตุผลดังต่อไปนี้

    1. ในส่วนของ Enterprise Value : EV

    เป็นการรวมส่วนของหนี้สินทั้งหมด (Total Liabilities) ที่เหลือของบริษัทเข้าไปด้วย หลังจากหักจากเงินสดที่มีของบริษัท (Total Cash) ซึ่งสะท้อนถึงมูลค่าของบริษัทจริงๆได้ดีกว่าการใช้มูลค่าหุ้นตามราคาตลาด (Market Cap.) เพียงอย่างเดียว

    2. ในส่วนของ Earnings Before Interest and Taxes : EBIT

    เป็นการมองถึงกำไรที่เกิดขึ้น โดยไม่นำเรื่องของต้นทุนทางการเงินและภาษีเงินได้มาเกี่ยวข้อง ซึ่งสะท้อนให้เห็นความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจริงๆได้มากกว่า การดูกำไรสุทธิเพียงอย่างเดียว

    หมายเหตุ : ควรตรวจสอบทุกครั้งว่า Total Cash ในอัตราส่วน Enterprise Value มีการเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติหรือไม่ ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการขายธุรกิจหลักหรือสินทรัพย์หลักในการดำเนินธุรกิจ

    ดังนั้นเมื่อรวมส่วนของ EV และ EBIT เข้าไว้ด้วยกันเป็นสูตร Enterprise Multiple จึงเกิดเป็นสุดยอดอัตราส่วนที่ใช้ในการเปรียบเทียบและค้นหาหุ้นที่มีพื้นฐานดีและราคาไม่แพงนั่นเอง!!

    อัตราส่วน Enterprise Value กับหลักฐานการชนะตลาดหุ้น

    เพื่อหาหลักฐานที่เป็นข้อพิสูจน์ถึงพลังของอัตราส่วน Enterprise Multiple หรือ EV/EBIT ว่ามันสามารถที่จะช่วยให้เราค้นหาหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน (Undervalue) และสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นพอร์ตโฟลิโอที่มากกว่าหรือไม่นั้น Tobias Carlisle จึงได้ทำการวิจัยโดยทดสอบตัวแปร Price-to-Fundamental ต่างๆรวมทั้งหมด 6 แบบเพื่อนำมาเปรียบเทียบกัน ได้แก่

    • EV/EBIT
    • EV/EBITDA
    • Price-to-Earnings
    • EV/Free Cash Flow
    • EV/Gross Profit
    • Price-to-Book Value

    โดยทดสอบกับหุ้นทุกตัวที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap.) มากกว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 40 ขึ้นไปเพื่อป้องกันปัญหาเรื่องของสภาพคล่องในการซื้อขาย (60% แรกของหุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายโดยเฉลี่ยมากที่สุด) ซึ่งมีระยะเวลาการทดสอบตั้งแต่ปี 1964 ถึงปี 2011 โดยจะทำการปรับพอร์ทในวันสุดท้ายของเดือนมิถุนายนของทุกปี (Yearly Rotation) และแบ่งพอร์ตโฟลิโอออกเป็น 2 แบบคือ

    1. พอร์ตโฟลิโอแบบ Glamour

    จะเลือกหุ้นจากตัวแปร Price-to-Fundamental ที่มีค่าสูงสุด จำนวน 10% ของหุ้นทั้งหมด

    2. พอร์ตโฟลิโอแบบ Value

    จะเลือกหุ้นจากตัวแปร Price-to-Fundamental ที่มีค่าต่ำสุด จำนวน 10% ของหุ้นทั้งหมด

    และให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นแต่ละตัวในพอร์ตโฟลิโอเท่าๆกัน (Equal-Weighted) ซึ่งผลการทดสอบเป็นดังนี้

    ภาพที่ 2 : แสดงผลตอบแทนของพอร์ตโฟลิโอแบบ Value และ Glamour แยกตามตัวแปร Price-to-Fundamental ทั้ง 6 แบบที่นำมาทดสอบตั้งแต่ปี ค.ศ. 1964 ถึงปี 2011

    จากภาพที่ 2 จะเห็นได้ว่าการจัดพอร์ตโฟลิโอแบบ Value ในทุกตัวแปร Price-to-Fundamental ทั้ง 6 แบบสามารถสร้างผลตอบแทนทบต้นต่อปีที่มากกว่า S&P 500 TR ที่ใช้เป็น Benchmark  รวมถึงการจัดพอร์ตโฟลิโอแบบ Glamour ทั้งหมดด้วยเช่นกัน (เป็นการยืนยันอีกทางหนึ่งว่าการซื้อหุ้นที่ราคาถูกให้ผลตอบแทนมากกว่าการซื้อหุ้นราคาแพง –  เมื่อวัดในเชิงของมูลค่าไม่ใช่ราคา) นอกจากนี้สิ่งที่น่าสนใจที่สุดก็คือ เขายังพบว่าในกลุ่มตัวแปร Price-to-Fundamental ของพอร์ตโฟลิโอแบบ Value ที่ให้ผลตอบแทนที่มากที่สุดคือตัวแปร EV/EBIT นั่นเอง ซึ่งตั้งแต่ปี ค.ศ. 1964 – 2011 มันได้ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นที่สูงถึง 14.6% ต่อปีเลยทีเดียว และนี่ก็คืองานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงความน่าสนใจของอัตราส่วน Enterprise Multiple นั่นเองครับ!

    Enterprise Multiple กับบทสรุปกับตลาดหุ้นไทย

    เป็นอย่างไรกันบ้างครับ เชื่อว่าหลังจากอ่านบทความจบแล้วเพื่อนๆคงเข้าใจถึงแนวคิดของอัตราส่วน Enterprise Multiple หรือ EV/EBIT มากยิ่งขึ้นนะครับ และนี่ก็คือเนื้อหาที่พวกเราทีมงาน SiamQuant ตั้งใจนำมาฝากในสัปดาห์นี้ หวังว่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆนักลงทุนทุกคนไม่มากก็น้อย โดยเพื่อนๆที่อยาก ศึกษาผลงานวิจัยโดยละเอียดเพิ่มเติมนั้น สามารถอ่านต่อได้จากลิงค์ไฟล์ PDF ฉบับเต็มด้านล่าง นอกจากนี้แล้ว สำหรับใครที่อยากเห็นถึงผลลัพธ์ของการทดสอบระบบการลงทุน Enterprise Multiple ในตลาดหุ้นไทยจากฐานข้อมูล SiamQuant Hybrid Database ว่าพลังของมันจะมีประสิทธิภาพมากสักแค่ไหนและมันจะสามารถเอาชนะตลาดหุ้นไทยได้หรือไม่นั้น เพียงแค่กด Like-Share เพื่อเป็นกำลังใจให้พวกเราและคลิกลิงค์ “ดูผลการทดสอบระบบ Enterprise Multiple กับตลาดหุ้นไทย Click!!” เพื่อนๆก็จะสามารถดูผลลัพธ์ระบบ Enterprise Multiple กันได้เลยครับ!

     

    ทีมงาน SiamQuant

    SiamQuant Academy จุดเริ่มต้นของการลงทุนอย่างเป็นระบบ

    Reference

    1. Fama, E. F. and K. R.French (1992). “The cross-section of expected stock return” Journal of Finance 47: 427-465.
    2. Carlisle, T. E. (2014). Deep Value :Why Activist Investors and Other Contrarians Battle For Control of “Losing” Corporations. Hoboken, New Jersey, John Wiley & Sons, Inc.

    SQA Ads for Video Post 1-3 Ratio

    2.7k
    SHARES
    2.7kFacebookXLine
    Enterprise Multiple EV/EBIT trading system ฐานข้อมูลหุ้นย้อนหลัง ระบบการลงทุน ระบบเทรด
    SiamQuant Team
    • Website
    • Facebook
    • X (Twitter)

    Admin ผู้ดูแลเว็บไซต์ SiamQuant.com ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อการแบ่งปันความรู้และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการลงทุนอย่างเป็นระบบให้กับนักลงทุนไทย

    Related Posts

    รีวิวผลตอบแทน 40 กลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงเดือนกรกฎาคมของปี 2020

    August 3, 2020

    พิสูจน์ความอันตรายของการเก็งกำไรระยะสั้นด้วยทฤษฎี Risk of Ruin

    July 19, 2020

    รีวิวประสิทธิภาพของกลยุทธ์การลงทุน Mangmao All-Time-High หลังวิกฤติโควิด-19

    July 15, 2020

    2 Comments

    1. blackstones on May 22, 2016 4:59 pm

      ดูผลไม่ได้ครับ

      Log in to Reply
    2. p.lertpaiboon on May 2, 2016 6:31 pm

      ดูผลไม่ได้ครับ

      Log in to Reply
    Leave A Reply Cancel Reply

    You must be logged in to post a comment.

    Continue with Google
    หมวดหมู่บทความ
    บทความล่าสุด

    สุดยอดสินทรัพย์ทางการเงิน เพื่อการจัดพอร์ตการลงทุนระดับโลกที่ยั่งยืนเหนือกาลเวลา

    November 14, 2025

    มหัศจรรย์แห่งการจัดพอร์ตการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์แบบ Global Strategic Asset Allocation (GSAA)

    November 12, 2025

    🤝 ประกาศความร่วมมือทางธุรกิจระหว่าง SiamQuant และ Krungthai XSpring (KTX)

    November 11, 2025

    ลงทะเบียนรับข่าวสารและบทความ

    กรอก E-Mail ของคุณ เพื่อติดตามข่าวสาร, องค์ความรู้ และงานวิจัยด้านการลงทุนชิ้นใหม่ๆจากพวกเรา Free!

    Social Medias ของเรา
    • YouTube
    • Facebook
    กองทุนส่วนบุคคลเชิงปริมาณ
    Demo
    Facebook YouTube
    © 2025 Copyright by SiamQuant.

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.

    XEmail
    2.7k
    SHARES
    2.7k