Close Menu
SiamQuantSiamQuant
    Facebook YouTube
    Facebook YouTube
    SiamQuantSiamQuant
    ติดต่อเรา
    • กองทุนส่วนบุคคล
    • บทความและงานวิจัย
    • ร่วมงานกับเรา
      • รายละเอียดการรับสมัครทีมงาน
      • Researcher
      • Developer
      • Operations
      • Marketer
    • เกี่ยวกับเรา
      • เกี่ยวกับ SiamQuant
      • นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy)
    • มุมสมาชิก
      • บัญชีของฉัน
      • AlphaClass Video Courses
      • AlphaSuite Installer & Manual
    SiamQuantSiamQuant
    Facebook YouTube
    Home»งานวิจัยและบทความทั้งหมด»องค์ความรู้จากการลงทุนอย่างเป็นระบบ»ประโยชน์ของการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน
    องค์ความรู้จากการลงทุนอย่างเป็นระบบ

    ประโยชน์ของการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน

    Koedkao PeeratiyuthBy Koedkao PeeratiyuthSeptember 8, 2019Updated:September 9, 2019No Comments2 Mins Read
    11.1k
    SHARES
    11.1kFacebookXLine

    เราควรจะ “กระจายความเสี่ยง” หรือไม่ และเราควรจะกระจายความเสี่ยงมากสักแค่ไหน? แล้วมันมีประโยชน์จริงๆหรือ? ในบทความนี้ ผมจะแสดงให้พวกเราทุกคนได้เห็นถึงผลกระทบทั้งในทางบวกและทางลบของมันให้เห็นกันอย่างชัดเจน ด้วยการทดสอบถึงหลักการกระจายความเสี่ยงในตลาดหุ้นไทยกันครับ! 

    Table of Contents

    Toggle
    • การป้องกันความเสี่ยงเฉพาะตัวของธุรกิจด้วยการกระจายการลงทุน (Diverfication)
    • เงื่อนไขในการทดสอบผลกระทบของการกระจายความเสี่ยง
    • ผลกระทบของการกระจายความเสี่ยงและผลตอบแทนทบต้น (No. Stock v.s. CAGR)
    • ผลกระทบของการกระจายความเสี่ยงและความรุนแรงของการขาดทุน (No. Stock v.s. Maximum Drawdown)
    • การกระจายความเสี่ยงเป็นเพียงเทคนิคหนึ่งในการช่วยปกป้องความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอเท่านั้น

    การป้องกันความเสี่ยงเฉพาะตัวของธุรกิจด้วยการกระจายการลงทุน (Diverfication)

    คำว่าการกระจายการลงทุนหรือ Diversification นั้นน่าจะเป็นคำที่คุ้นหูสำหรับนักลงทุนหลายๆท่านกันไม่มากก็น้อย ซึ่งในทางทฤษฎีแล้วหลักการกระจายความเสี่ยงนั้น ถือเป็นกลยุทธ์การจัดการที่สามารถลดความเสี่ยงในการลงทุน จากเหตุการณ์เลวร้ายซึ่งเกิดขึ้นอย่างเฉพาะเจาะจงกับหุ้นตัวใดตัวหนึ่งได้เป็นอย่างดี (Unsystematic Risk)

    ภาพที่ 1 : แสดงจำนวนหุ้นที่มีในพอร์ตโฟลิโอเปรียบเทียบกับระดับความผันผวนเฉลี่ยต่อปี (Avg. Annual Standard Deviation)

    ซึ่งจากภาพที่ 1 นั้นเป็นการแสดงให้เห็นว่า ยิ่งมีการกระจายการลงทุนในหุ้นจำนวนมากขึ้น (จำนวนหุ้นในแกน X หรือแนวนอน) ก็จะสามารถลดความผันผวนของพอร์ตโฟลิโอได้อย่างมีนัยยะสำคัญ โดยเราจะเห็นได้ว่าการกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสมที่ราวๆ 25 ตัวนั้น จะสามารถลดความผันผวนของมูลค่าพอร์ตโฟลิโอ (แกน Y หรือแนวตั้ง) ให้ลดลงมาได้ราวๆ 60% เลยทีเดียว โดยจะสังเกตุได้ว่าเมื่อจำนวนหุ้นในพอร์ตเริ่มมีจำนวนมากขึ้นกว่า 30 ตัวนั้น ประสิทธิภาพของการกระจายความเสี่ยงจะค่อยๆน้อยลงจนไม่ทำให้ความผันผวนลดลงไปมากกว่าเดิมแล้ว

    อย่างไรก็ตาม เราจะสังเกตได้ว่าผลการทดลองในเรื่องของการกระจายความเสี่ยงที่เราสามารถหาอ่านกันได้นั้น มักจะเป็นผลการทดลองกับตลาดหุ้นต่างประเทศ และล้วนแล้วแต่ที่จะพุ่งไปเป้าไปที่การหาความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนหุ้นและความผันผวนหรือค่า Standard Deviation กันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมักไม่ใช่ความเสี่ยงที่นักลงทุนจริงๆสนใจกัน เพราะเรามักสนใจว่าเราจะมีโอกาสขาดทุนหรือเกิด Maximum Drawdown กันมากสักแค่ไหน

    ดังนั้น ในบทความนี้ผมจึงอยากที่จะพูดถึงประโยชน์ และความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนหุ้นและผลตอบแทน รวมไปถึงความเสี่ยงในมุมมองของค่า Maximum Drawdown โดยเป็นผลการทดสอบกับหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกันดูบ้าง ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับนักลงทุนหลายๆคนกันครับ

    เงื่อนไขในการทดสอบผลกระทบของการกระจายความเสี่ยง

    สำหรับการทดสอบในบทความนี้นั้น เพื่อตัดผลกระทบจากประสิทธิภาพของจุดซื้อและจุดขายออกไป ผมจะทำการทดลองซื้อขายด้วยเงื่อนไขแบบสุ่ม (Random Entry) ซึ่งใช้การจัดลำดับเลือกหุ้นด้วยคะแนนจากการสุ่มด้วยเช่นเดียวกัน (Random Score) โดยกลยุทธ์การลงทุนนี้จะมีการปรับพอร์ตหรือการ Rebalance ทุกๆปี โดยผมจะทำการทดลองภายใต้เงื่อนไขของการกำหนดขนาดการลงทุนที่ครั้งและ 20%, 10% และ 5% ของพอร์ต (ทดสอบเงื่อนไขละ 100 ครั้ง) โดยมีรายละเอียดและเงื่อนไขสำหรับการทดสอบดังนี้

    Condition Details
    Backtesting Window
    • 10 ปี ตั้งแต่ช่วง 01/01/2009 – 12/31/2018
    Backtesting Restriction
    • เงินทุนเริ่มต้น 100 ล้านบาท
    • อัตราค่า Commission 0.25% (รวมซื้อขาย 0.5%)
    • Long Only
    Universe
    • All Stocks หุ้นทุกตัวในตลาดหลักทรัพย์
    Entry
    • ทำการเข้าซื้อหุ้นตอนต้นปี SQFirstDayOfYear()
    Exit
    • ทำการขายหุ้นตอนปลายปี SQLastDayOfYear()
    Filters
    • เข้าซื้อหุ้นด้วยการสุ่ม
    • กรองข้อมูลที่มีความผิดพลาดออกด้วย SQDataFilter(0)
    Position Size
    • 20% / 10% / 5% ของมูลค่าพอร์ตโฟลิโอ
    Position Score
    • เรียงลำดับด้วยการสุ่ม
    Order Management
    • ทำการซื้อขายราคาเปิด (Open) ของวันถัดไปของวันที่เกิดสัญญาณ)

    ตารางที่ 1 : ตารางแสดงเงื่อนไขสำหรับการทดสอบ Diversification Effect

    ผลกระทบของการกระจายความเสี่ยงและผลตอบแทนทบต้น (No. Stock v.s. CAGR)

    ภาพที่ 2 : Chart แสดงการกระจายตัวของค่า CAGR จากการทดสอบแบบสุ่ม 

    Statistics Position Size 20% Position Size 10% Position Size 5%
    Median CAGR 11.56% 13.53% 13.13%
    95th Percentile CAGR 20.81% 18.58% 18.28%
    5th Percentile CAGR 3.42% 7.7% 9.96%
    Min CAGR 1.44% 3.87% 7.96%
    Max CAGR 26.9% 24.21% 19.09%
    Standard Deviation 5.23% 3.66% 2.55%

    ตารางที่ 2 : สรุปสถิติของค่า CAGR จากการทดสอบแบบสุ่ม

    โดยจากภาพและตารางนั้นเราจะสังเกตได้ว่า ถึงแม้พอร์ตโฟลิโอที่มีการ Focus การลงทุนมากที่สุด 20% ในแต่ละครั้ง (การกระจายตัวสีแดง) จะเป็นกลุ่มที่มีการทดสอบที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดก็จริง (ค่า 95th Percentile CAGR) แต่จากการกระจายตัว (Distribution) ของผลตอบแทนในภาพที่ 2 นั้นจะเห็นได้ว่าผลตอบแทนที่สูงที่สุดนั้น ก็เป็นเพียงแค่กลุ่มข้อมูลส่วนปลายหรือส่วน Tail ของ Distribution เท่านั้น โดยจะสังเกตได้ว่ากลุ่ม Distribution สีแดงนั้นก็กลับมีการกระจายตัวของผลตอบแทนที่มากที่สุดเช่นเดียวกัน และยังมีค่า Median ของผลตอบแทนที่ต่ำที่สุดอีกด้วย!

    อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าสำหรับพอร์ตโฟลิโอที่มีการกระจายการลงทุนมากที่สุดที่ 5% หรือถือหุ้นราวๆครั้งละ 20 ตัว (การกระจายตัวสีฟ้า) กลับเป็นกลุ่มที่มีความผันผวนของผลตอบแทนในการทดลองต่ำที่สุด และมีค่าเฉลี่ย Median ของผลตอบแทนในการทดลองที่สูงที่สุดอย่างไม่น่าเชื่อ! 

    ดังนั้นแล้ว ประโยชน์ของการกระจายความเสี่ยงจึงช่วยให้เรามีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ควรจะได้สูงที่สุด (Distribution หรือค่า Standard Deviaion ของการทดลองที่แคบกว่าการโฟกัส) และยังให้ผลตอบแทนที่ดีไม่แพ้การโฟกัสเลยนั่นเองครับ!

    ผลกระทบของการกระจายความเสี่ยงและความรุนแรงของการขาดทุน (No. Stock v.s. Maximum Drawdown)

    ภาพที่ 3 : Chart แสดงการกระจายตัวของค่า Maximum Drawdown จากการทดสอบแบบสุ่ม **

    Statistics Position Size 20% Position Size 10% Position Size 5%
    Median MaxDD -41.72% -34.39% -31.81%
    95th Percentile MaxDD -29.57% -27.03% -26.89%
    5th Percentile MaxDD -57.07% -48.97% -38.1%
    Min MaxDD -24.45% -23.19% -24.89%
    Max MaxDD -72.16% -58.45% -44.33%
    Standard Deviation 9.08% 6.51% 3.55%

    ตารางที่ 3 : สรุปสถิติของค่า Maximum Drawdown จากการทดสอบแบบสุ่ม

    เนื่องจากนักลงทุนไม่ควรตัดสินใจในการลงทุนจากแค่ผลตอบแทนเท่านั้น ในคราวนี้เราจะมาดูที่ค่าความเสี่ยงซึ่งวัดโดย Maximum Drawdown กันบ้าง ซึ่งจะเห็นได้จาก Chart ในภาพที่ 4 ว่าสำหรับพอร์ตโฟลิโอที่มีการ Focus การลงทุน 20% ต่อตัว (สีแดง) นั้น ได้ให้ผลลัพธ์การกระจายตัวของค่า Maximum Drawdown ที่ย่ำแย่ที่สุด (อยู่ด้านซ้ายสุด) โดยจะสังเกตได้ว่าในกรณีที่เลวร้ายหรือที่ค่า 5th Percentile MaxDD ลงไปนั้น พวกมันได้ให้ค่า Maximum Drawdown ที่แย่กว่าราว -57% เลยทีเดียว  

    ดังนั้นแล้ว เราจะเห็นได้ว่าความเชื่อที่ว่าอยากรวยต้องโฟกัสเล่นหุ้นน้อยตัวจึงเป็นเพียงการพูดในบริบทเดียวที่คุณโชคดีเท่านั้น เพราะในทางกลับกันหากนักลงทุนโฟกัสหุ้นผิดตัวหรือไม่ได้โชคดีขนาดนั้น คุณก็อาจต้องพบกับผลตอบแทนทบต้นที่ย่ำแย่กว่าการกระจายความเสี่ยงที่มากขึ้นก็ได้ เข้าทำนองที่ว่า “ไม่ดังก็ดับ” หรือ “คนตายไม่ได้พูดออกทีวี” นั่นเองครับ!! 

    การกระจายความเสี่ยงเป็นเพียงเทคนิคหนึ่งในการช่วยปกป้องความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอเท่านั้น

    จากการทดลองในวันนี้หวังว่าเพื่อนๆพี่ๆน้องๆนักลงทุนจะได้เห็นประโยชน์ของการกระจายการลงทุน (Diversification) เพื่อช่วยลดความเสี่ยงและความผันผวนของพอร์ตโฟลิโอจากปัจจัยความเสี่ยงเฉพาะตัวของธุรกิจ (Unsystematic Risk) กันไม่มากก็น้อยนะครับ อย่างไรก็ตาม เราจะเห็นได้ว่าการกระจายความเสี่ยงนั้นก็ยังมีข้อจำกัดของมันอยู่เช่นกัน เนื่องจากในที่สุดนั้น ประสิทธิภาพของมันก็จะตีบตันอยู่ในจุดหนึ่ง โดยที่ต่อให้เราจะถือหุ้นมากตัวเพิ่มขึ้นเท่าใด มันก็แทบจะไม่ช่วยให้ความเสี่ยงและผลตอบแทนดีขึ้นอีกต่อไปแล้ว

    นอกจากนี้แล้ว ในกรณีที่ตลาดเกิดวิกฤติต่างๆขึ้นมา หุ้นส่วนใหญ่ในตลาดก็มักที่จะวิ่งลงไปพร้อมๆกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (Systematic Risk) จนทำให้เรายังต้องพบกับความเสียหายของพอร์ตโฟลิโอในระดับที่สูง แม้ว่าจะพยายามกระจายความเสี่ยงมากสักแค่ไหนก็ตาม

    ดังนั้น ในตอนต่อไปผมจะมาเล่าถึงแนวทางการป้องกันความเสี่ยงที่เราต้องเผชิญในการลงทุนอีกชนิด ซึ่งก็คือความเสี่ยงที่เป็นระบบหรือ (Systematic Risk) นั่นเองครับ ยังไงเพื่อนๆพี่ๆน้องๆก็อย่าลืมติดตามกันนะครับ แล้วพบกันใหม่และขอให้ทุกคนมีความสุขในการลงทุนครับ

    11.1k
    SHARES
    11.1kFacebookXLine
    Diversification System Trade Unsystematic Risk การกระจายความเสี่ยง ระบบการลงทุน
    Koedkao Peeratiyuth

    เกิดเก้า พีรติยุทธ์ (แตม) วิศวกรที่หันมาเดินทางในสายการเงินแบบเต็มตัวมากว่า 10 ปี ด้วย Passion อันแรงกล้าและความคลั่งไคล้ในการลงทุน โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการเผยแพร่และปลูกฝังแนวคิดการลงทุนเชิงวิทยาศาสตร์ให้นักลงทุนไทยได้ลงทุนกันด้วยหลักเหตุและผล ไม่ใช่ไสยศาสตร์ครับ !!

    Related Posts

    สุดยอดสินทรัพย์ทางการเงิน เพื่อการจัดพอร์ตการลงทุนระดับโลกที่ยั่งยืนเหนือกาลเวลา

    November 14, 2025

    มหัศจรรย์แห่งการจัดพอร์ตการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์แบบ Global Strategic Asset Allocation (GSAA)

    November 12, 2025

    ทำไมปี 2023 จึงยังคงเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย?

    December 25, 2023
    Leave A Reply Cancel Reply

    You must be logged in to post a comment.

    Continue with Google
    หมวดหมู่บทความ
    บทความล่าสุด

    สุดยอดสินทรัพย์ทางการเงิน เพื่อการจัดพอร์ตการลงทุนระดับโลกที่ยั่งยืนเหนือกาลเวลา

    November 14, 2025

    มหัศจรรย์แห่งการจัดพอร์ตการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์แบบ Global Strategic Asset Allocation (GSAA)

    November 12, 2025

    🤝 ประกาศความร่วมมือทางธุรกิจระหว่าง SiamQuant และ Krungthai XSpring (KTX)

    November 11, 2025

    ลงทะเบียนรับข่าวสารและบทความ

    กรอก E-Mail ของคุณ เพื่อติดตามข่าวสาร, องค์ความรู้ และงานวิจัยด้านการลงทุนชิ้นใหม่ๆจากพวกเรา Free!

    Social Medias ของเรา
    • YouTube
    • Facebook
    กองทุนส่วนบุคคลเชิงปริมาณ
    Demo
    Facebook YouTube
    © 2025 Copyright by SiamQuant.

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.

    XEmail
    11.1k
    SHARES
    11.1k