Close Menu
SiamQuantSiamQuant
    Facebook YouTube
    Facebook YouTube
    SiamQuantSiamQuant
    ติดต่อเรา
    • กองทุนส่วนบุคคล
    • บทความและงานวิจัย
    • ร่วมงานกับเรา
      • รายละเอียดการรับสมัครทีมงาน
      • Researcher
      • Developer
      • Operations
      • Marketer
    • เกี่ยวกับเรา
      • เกี่ยวกับ SiamQuant
      • นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy)
    • มุมสมาชิก
      • บัญชีของฉัน
      • AlphaClass Video Courses
      • AlphaSuite Installer & Manual
    SiamQuantSiamQuant
    Facebook YouTube
    Home»งานวิจัยและบทความทั้งหมด»ระบบการลงทุน»กลยุทธ์​จัดพอร์ตการลงทุนอมตะนิรันดร์กาล Permanent Portfolio ของ Harry Browne
    ระบบการลงทุน

    กลยุทธ์​จัดพอร์ตการลงทุนอมตะนิรันดร์กาล Permanent Portfolio ของ Harry Browne

    SiamQuant TeamBy SiamQuant TeamDecember 17, 2025Updated:December 17, 2025No Comments6 Mins Read
    กลยุทธ์จัดพอร์ตการลงทุนอมตะนิรันดร์กาล Permanent Portfolio ของ Harry Browne
    24
    SHARES
    24FacebookXLine

    หนึ่งในความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับนักลงทุนทุกคน ก็คือความจริงที่ว่า “อนาคตเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้อย่างแน่นอน” ซึ่งแม้ว่าเรามักจะเห็นผู้เชี่ยวชาญมากมายที่พยายามทำนายทิศทางตลาด แต่ประวัติศาสตร์ก็ได้พิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ไม่มีใครสามารถทำนายได้อย่างแม่นยำอยู่สม่ำเสมอ 

    แล้วเราจะสร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืนในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนนี้ได้อย่างไร?

    ในบทความนี้ เราจะพาทุกท่านไปพบกับพอร์ตการลงทุนแบบ Permanent Portfolio ที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้เราสามารถอยู่รอดและทำกำไรไปได้ตลาดกาล โดยไม่ต้องคอยคาดเดาและกังวลว่าตลาดหรือเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไรในอนาคตกันครับ

    Table of Contents

    Toggle
    • 1. ปรัชญาการลงทุนไร้พ่าย “Fail-Safe Investing” เบื้องหลัง Permanent Portfolio ของ Harry Browne
      • 1.1 Fail-Safe Investing ปรัชญาการลงทุนที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง
    • 2. แก่นแนวคิดในการจัดพอร์ตการลงทุนของ Permanent Portfolio
      • 2.1 สี่ฤดูกาลทางเศรษฐกิจ (The Four Economic States)
      • 2.2 การจัดสรรสินทรัพย์เป็น 4 ส่วน (The 4-Asset Allocation)
      • 2.3 การปรับสมดุลพอร์ตเฉพาะเมื่อสัดส่วนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญเท่านั้น (Threshold-Based Rebalancing)
      • 2.4 กลไกการเติมเงินลงทุนแบบเพื่อสะสม และเฝ้ารอโอกาสในการปรับพอร์ตการลงทุน (New Capital Allocation Strategy)
    • 3. สูตรจัดพอร์ตการลงทุนและรายละเอียดการวิจัยทดสอบ (Asset Allocation Rules & Backtest Settings)
    • 4. ผลลัพธ์และการวิเคราะห์ (Results & Analysis)
    • 5. บทสรุปของพอร์ตการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่อมตะนิรันดร์กาล Permanent Portfolio ของ Harry Browne

    1. ปรัชญาการลงทุนไร้พ่าย “Fail-Safe Investing” เบื้องหลัง Permanent Portfolio ของ Harry Browne

    “พอร์ตการลงทุนของคุณนั้น ควรจะรับประกันได้ว่าความมั่งคั่งของคุณจะอยู่รอดได้ในทุกๆเหตุการณ์ … รวมถึงเหตุการณ์ใดๆที่อาจทำลายพอร์ตการลงทุนของคุณลงก็ตาม”

    – Harry Browne ผู้เผยแพร่แนวคิด Permanent Portfolio

    Harry Browne เป็นนักเขียน นักการเมือง และที่ปรึกษาการลงทุนชาวอเมริกันผู้มีชื่อเสียง เขาเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า “อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้อย่างแน่นอน” และการพยายามทำนายอนาคต ก็มักจะเป็นหนทางที่นำไปสู่ความล้มเหลวทางการเงินและการลงทุนอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงได้พัฒนาปรัชญาแนวคิดแบบ “Fail-Safe Investing” หรือการลงทุนที่จะปลอดภัยจากความล้มเหลวขึ้นมาในที่สุด

    1.1 Fail-Safe Investing ปรัชญาการลงทุนที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง

    ปรัชญาหลักการลงทุนไร้พ่ายแบบ Fail-Safe ของ Harry Browne สามารถสรุปได้เป็นข้อๆ ดังนี้:

    • การลงทุนเพื่อความมั่งคั่ง (Wealth Creation & Preservation): Browne แยกความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างการสร้าง “ความมั่งคั่ง” ซึ่งเป็นเงินส่วนที่ต้องปกป้องรักษาไว้ กับ “การเก็งกำไร” (Speculation) ซึ่งควรทำด้วยเงินที่พร้อมจะสูญเสียเท่านั้น พอร์ตการลงทุนหลักของเรา จึงควรที่จะถูกจัดสรรเพื่อปกป้องความมั่งคั่งเอาไว้เป็นอันดับแรก
    • อย่าเชื่อคำทำนาย (Beware of Fortune-Tellers): เขาไม่เชื่อในการทำนายตลาดและผู้เชี่ยวชาญที่อ้างว่าสามารถทำนายการเคลื่อนไหวของตลาดได้ โดยที่ Browne ย้ำว่า “ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนส่วนใหญ่ มักจะเกิดความผิดพลาดในทันทีเมื่อพวกคุณเริ่มทำตามคำแนะนำของเขา”
    • การตัดสินใจด้วยตนเอง (Make Your Own Decisions): นักลงทุนต้องเป็นผู้ควบคุมชะตากรรมทางการเงินของตนเอง โดยไม่ควรมอบอำนาจการตัดสินใจที่สำคัญให้กับที่ปรึกษาหรือผู้จัดการกองทุน เพราะไม่มีใครจะใส่ใจเงินของคุณได้เท่ากับตัวคุณเอง
    • เป้าหมายคือความปลอดภัยของเงินต้น (The Goal is Safety): เป้าหมายหลักของการลงทุนของเขา ไม่ใช่การ “เอาชนะตลาด” แต่คือการสร้างพอร์ตการลงทุนที่สามารถทนทานต่อทุกเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันได้ในระยะยาว เพื่อให้เราสามารถนอนหลับฝันดีได้อย่างสบายใจ

    จากปรัชญาทั้งหมดนี้เอง ที่นำไปสู่การสร้างกลไกของ Permanent Portfolio ซึ่งถูกวิจัยค้นคว้าและออกแบบมาให้ “เตรียมพร้อม” สำหรับทุกสถานการณ์ โดยที่เราไม่จำเป็นต้อง “ทำนาย” ว่าสถานการณ์ใดๆจะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้อีกต่อไป

    หนังสือ Fail-Safe Investing ต้นกำเนิดแนวคิด Permanent Portfolio ของ Harry Browne

    ภาพที่ 1: หนังสือ Fail-Safe Investing ต้นกำเนิดแนวคิด Permanent Portfolio ของ Harry Browne ที่ตีพิมพ์ในเดือนกันยายนปี ค.ศ. 1999

    2. แก่นแนวคิดในการจัดพอร์ตการลงทุนของ Permanent Portfolio

    ความน่าสนใจของแก่นแนวคิดในการจัดพอร์ตแบบ Permanent Portfolio ไม่ได้อยู่แค่ความเรียบง่ายเท่านั้น แต่มันคือการสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีสถานะเป็นกลาง (Neutral) ต่อการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดจากปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจมหภาค 2 ประการ ได้แก่ การเติบโตทางเศรษฐกิจ (Economic Growth) และ อัตราเงินเฟ้อ (Inflation) ซึ่งสามารถนำมาสร้างเป็นตาราง 4 ด้าน เพื่อแสดงสภาวะเศรษฐกิจเป็น 4 รูปแบบ (Economic Regimes Quadrant) ได้ดังภาพด้านล่างนี้ โดยที่ Browne เชื่อว่าผลตอบแทนของสินทรัพย์ประเภทต่างๆ จะถูกขับเคลื่อนตามสภาวะเศรษฐกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆไม่จบสิ้น

    กราฟ Economic Regime & Winning Assets Scatter Chart แสดงความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะทางเศรษฐกิจ (Economic Regimes) และสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในแต่ละปี (Winning Assets) ตามแนวคิดในการจัดพอร์ตการลงทุนแบบ Permanent Portfolio ของ Harry Browne

    ภาพที่ 2: กราฟ Economic Regime & Winning Assets Scatter Chart แสดงความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะทางเศรษฐกิจ (Economic Regimes) และสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในแต่ละปี (Winning Assets) ตามแนวคิดในการจัดพอร์ตการลงทุนแบบ Permanent Portfolio ของ Harry Browne โดยแกน X จะเป็นผลตอบแทนของตลาดหุ้น (ตัวแปรแสดงการเติบโตของเศรษฐกิจทางอ้อม – Growth Proxy) และแกน Y คืออัตราเงินเฟ้อในแต่ละปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1929-2024

    2.1 สี่ฤดูกาลทางเศรษฐกิจ (The Four Economic States)

    จากที่ได้กล่าวไปแล้วว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจที่สำคัญ 2 ประการคือ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Economic Growth) และอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Rate) จะเป็นตัวกำหนดถึงสภาวะเศรษฐกิจทั้ง 4 รูปแบบขึ้นมา โดยที่สภาวะเศรษฐกิจทั้ง 4 รูปแบบที่คอยขับเคลื่อนผลตอบแทนของสินทรัพย์ต่างๆนั้น จะมีธรรมชาติที่แตกต่างกันไปดังนี้:

    1. ภาวะรุ่งเรือง (Prosperity): เป็นช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตแข็งแกร่งและอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ บริษัทต่างๆ มีผลกำไรดี ตลาดหุ้นมักจะให้ผลตอบแทนสูง
    2. ภาวะเงินเฟ้อ (Inflation): เป็นช่วงที่ราคาสินค้าและบริการปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้มูลค่าของเงินสดและพันธบัตรลดลง
    3. ภาวะเงินฝืด/เศรษฐกิจถดถอย (Recession/Deflation): เป็นช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตช้าหรือหดตัว ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะเงินฝืด (ราคาสินค้าลดลง)
    4. ภาวะวิกฤต (Crisis): เป็นช่วงเวลาที่เกิดความตึงเครียดทางการเงินอย่างรุนแรง เช่น ภาวะสินเชื่อหดตัวฉับพลัน (Severe Credit Contraction) หรือปรากฏการณ์ “Flight-to-Safety” ที่นักลงทุนให้ความสำคัญกับการรักษาเงินต้นเหนือสิ่งอื่นใด ทำให้ความต้องการเงินสดและสินทรัพย์ปลอดภัยสูงสุดพุ่งสูงขึ้น

    โดยที่เราสามารถที่จะพิสูจน์และสังเกตได้จากข้อมูลทางสถิติ ที่เกิดขึ้นจากผลตอบแทนของสินทรัพย์การลงทุนหลักของโลก (Major Asset Classes) ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเกือบ 100 ปีดังนี้

    กราฟแสดงผลตอบแทนหลังหักเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยของสินทรัพย์แต่ละชนิด (Average Asset Class Real Return) ในแต่ละสภาวะเศรษฐกิจ (Economic Regimes) ภายใต้แนวคิดในการจัดพอร์ตการลงทุนแบบ Permanent Portfolio ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1929-2024 

    ภาพที่ 3: กราฟแสดงผลตอบแทนหลังหักเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยของสินทรัพย์แต่ละชนิด (Average Asset Class Real Return) ในแต่ละสภาวะเศรษฐกิจ (Economic Regimes) ภายใต้แนวคิดในการจัดพอร์ตการลงทุนแบบ Permanent Portfolio ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1929-2024 

    สภาวะเศรษฐกิจ (Regime) 📈 หุ้น (Stocks) 🥇 ทองคำ (Gold) 🎫 พันธบัตร (Bonds) 💵 เงินสด (Cash) จำนวนปีรวม
    1. Inflationary Growth

    (เศรษฐกิจดี + เงินเฟ้อ)

    ชนะ 17 ครั้ง (65%) ชนะ 7 ครั้ง (27%) ชนะ 2 ครั้ง (8%) ชนะ 0 ครั้ง (0%) 26 ปี
    2. Disinflationary Growth

    (เศรษฐกิจดี + เงินเฟ้อนิ่ง)

    ชนะ 32 ครั้ง (73%) ชนะ 6 ครั้ง (14%) ชนะ 5 ครั้ง (11%) ชนะ 1 ครั้ง (2%) 44 ปี
    3. Stagflation

    (เศรษฐกิจแย่ + เงินเฟ้อสูง)

    ชนะ 0 ครั้ง (0%) ชนะ 5 ครั้ง (31%) ชนะ 7 ครั้ง (44%) ชนะ 4 ครั้ง (25%) 16 ปี
    4. Deflationary Bust

    (เศรษฐกิจแย่ + เงินฝืด)

    ชนะ 0 ครั้ง (0%) ชนะ 1 ครั้ง (10%) ชนะ 4 ครั้ง (40%) ชนะ 5 ครั้ง (50%) 10 ปี

    ตารางที่ 1: ตารางสถิติความถี่ของสินทรัพย์ผู้ชนะในแต่ละปี (Winning Assets) ตามสภาวะเศรษฐกิจต่างๆ (Economic Regimes) ภายใต้แนวคิดในการจัดพอร์ตการลงทุนแบบ Permanent Portfolio ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1929-2024

    โดยจากกราฟและตารางสถิติ Economic Regimes vs. Winning Assets จะเห็นได้ว่าในช่วงเกือบ 100 ปีที่ผ่านมานั้น ทุกสภาวะเศรษฐกิจทั้ง 4 รูปแบบตาม Growth – Inflation Model นั้น จะมีสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่เหนือกว่าเงินเฟ้ออย่างโดดเด่นขึ้นมาอยู่เสมอ ซึ่งหลักฐานที่เกิดขึ้นนี้เอง จะถือเป็นรากฐานของแนวคิดในการกำหนดสัดส่วนของสินทรัพย์ต่างๆใน Permanent Portfolio ต่อไป

    2.2 การจัดสรรสินทรัพย์เป็น 4 ส่วน (The 4-Asset Allocation)

    จากข้อมูลทางสถิติที่เกิดขึ้นนี้เอง เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับทั้งสี่ฤดูเศรษฐกิจทั้ง 4 รูปแบบ Harry Browne จึงได้ออกแบบพอร์ตการลงทุนด้วยสินทรัพย์ 4 ประเภท เพื่อรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจในแต่ละรูปแบบ ในสัดส่วนที่เท่ากันคือ 25% โดยแต่ละประเภทจะโดดเด่นในสภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน ดังภาพและตารางต่อไปนี้:

    ภาพที่ 4: กราฟแสดงสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์ และกองทุนดัชนี ETF ซึ่งเป็นตัวแทนสินทรัพย์ในการจัดพอร์ตการลงทุนแบบ Permanent Portfolio

    สินทรัพย์ (Asset) สัดส่วน (Allocation) สภาวะเศรษฐกิจที่โดดเด่น (Performs Best In)
    หุ้น (Stocks) 25% ภาวะรุ่งเรือง (Prosperity)
    พันธบัตรระยะยาว (Long-Term Treasury Bonds) 25% ภาวะเงินฝืด/เศรษฐกิจถดถอย (Deflation/Recession)
    ทองคำ (Gold) 25% ภาวะเงินเฟ้อ (Inflation)
    เงินสด (Cash / Short-Term T-Bills) 25% ภาวะถดถอย/วิกฤต (Recession/Crisis)

    ตารางที่ 2: ตารางแสดงสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์ในการจัดพอร์ตการลงทุนแบบ Permanent Portfolio

    โดยที่โครงสร้างในการจัดพอร์ตการลงทุนของ Permanent Portflolio ในลักษณะนี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดที่ว่า “ความสำเร็จในการลงทุนนั้น ไม่ได้อยู่ที่การทำนายว่าฤดูไหนจะมาถึง แต่เป็นการสร้างพอร์ตการลงทุนเพื่อรับมือกับทุกสภาวะทางเศรษฐกิจ โดยไม่จำเป็นต้องคอยกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะเศรษฐกิจใดๆ” ต่างหาก 

    และเป้าหมายของการกำหนดสัดส่วนในการถือครองสินทรัพย์ของ Permanent Portfolio ก็คือการบรรลุถึงความเป็นกลางต่อปัจจัยผลักดันทางเศรษฐกิจต่างๆ เพราะเมื่อปัจจัยขับเคลื่อนหนึ่ง (เช่น เศรษฐกิจเติบโตดี) ส่งผลบวกต่อสินทรัพย์หนึ่ง (หุ้น) ปัจจัยขับเคลื่อนอีกอย่าง (เช่น เงินเฟ้อสูง) อาจส่งผลลบต่อหุ้น แต่ในขณะเดียวกันก็จะส่งผลบวกต่อสินทรัพย์อีกตัว (ทองคำ) การออกแบบพอร์ตเช่นนี้ทำให้แรงผลักดันเหล่านี้หักล้างกันเองในระยะยาว และทำให้พอร์ตการลงทุนโดยรวมเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ 

    แนวคิดในการใช้สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกันไปในแต่ละสภาวะเศรษฐกิจ มาทำการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนเอาไว้เช่นนี้ จึงเปรียบเสมือนการสร้าง “กำแพงกันไฟ (Firewall)” ให้กับพอร์ตการลงทุนขึ้นด้วย โดยหากว่าเกิดเหตุการณ์เลวร้ายจนทำให้สินทรัพย์ประเภทหนึ่งมูลค่าลดลงอย่างรุนแรง ความเสียหายจะถูกจำกัดไว้ที่ 25% ของพอร์ตทั้งหมดเท่านั้นนั่นเอง

    2.3 การปรับสมดุลพอร์ตเฉพาะเมื่อสัดส่วนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญเท่านั้น (Threshold-Based Rebalancing)

    นอกจากการกำหนดสัดส่วนในการถือครองสินทรัพย์ที่เรียบง่ายแล้ว Harry Browne ยังมีกฎการปรับสมดุลพอร์ตที่เรียบง่ายมากๆเช่นเดียวกัน โดยที่เขาแนะนำให้ปรับสมดุลพอร์ตก็ต่อเมื่อสัดส่วนของสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งเบี่ยงเบนไปจากเป้าหมาย 25% อย่างมีนัยสำคัญเท่านั้น โดยไม่จำเป็นต้องทำการปรับพอร์ตการลงทุนตามช่วงเวลาในทุกๆรอบไตรมาสหรือปี (Time-Based Rebalancing) โดยมีเกณฑ์ง่ายๆดังนี้:

    • ทำการปรับพอร์ตการลงทุน เมื่อสินทรัพย์ใดมีมูลค่าลดลงเหลือ 15% ของพอร์ตทั้งหมด
    • ทำการปรับพอร์ตการลงทุน เมื่อสินทรัพย์ใดมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 35% ของพอร์ตทั้งหมด

    โดยหากว่าสัดส่วนของสินทรัพย์ยังคงอยู่ในช่วง 15%-35% นั้น เราก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพิ่มเติม การทำเช่นนี้เป็นการปล่อยให้ผู้ชนะได้วิ่งต่อไป (Let winners run) ในระดับหนึ่ง แต่ก็มีการควบคุมความเสี่ยงไม่ให้พอร์ตเอนเอียงไปทางใดทางหนึ่งมากเกินไป

    2.4 กลไกการเติมเงินลงทุนแบบเพื่อสะสม และเฝ้ารอโอกาสในการปรับพอร์ตการลงทุน (New Capital Allocation Strategy)

    สุดท้ายนั้น สำหรับนักลงทุนที่ยังอยู่ในช่วงสะสมความมั่งคั่ง และต้องการเติมเงินเข้าพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้รับการเติบโตของเงินทุนสูงสุดนั้น Harry Browne แนะนำกฎที่ง่ายที่สุดคือ

    “ให้นำเงินลงทุนใหม่ทั้งหมดไปใส่ไว้ในส่วนของ “เงินสด (Cash)”

    โดยที่การทำเช่นนี้จะไม่ทำให้เราต้องปรับพอร์ตการลงทุนทุกครั้งที่เติมเงิน แต่จะทำให้เราจำเป็นต้องปรับสัดส่วน เมื่อการเติมเงินนั้นทำให้สัดส่วนเงินสดเพิ่มขึ้นจนเกินเกณฑ์ 35% เท่านั้น เพื่อกระจายเงินสดส่วนเกินไปยังสินทรัพย์อื่นที่กำลังมีมูลค่าต่ำกว่าเป้าหมายในการถือครองโดยอัตโนมัตินั่นเอง

    3. สูตรจัดพอร์ตการลงทุนและรายละเอียดการวิจัยทดสอบ (Asset Allocation Rules & Backtest Settings)

    สำหรับการวิจัยทดสอบทฤษฎีและกลยุทธ์การลงทุนในบทความนี้นั้น SiamQuant จะทำการกำหนดสมมติฐานและเงื่อนไขของการวิจัยให้มีความเข้มงวดในระดับหนึ่ง (ไม่ใช่ในเชิงทฤษฎี) เพื่อให้สมจริงกับการนำไปประยุกต์ใช้และทำการลงทุนของนักลงทุนส่วนบุคคล (Individual Investor Backtesting Conditions) และเพื่อให้เกิดประโยชน์และสะท้อต่อมุมมองของผู้อ่านโดยทั่วไปมากที่สุดดังต่อไปนี้

    Condition Details
    Backtest Window ค.ศ. 2015-2025 เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่มีข้อมูลในการทดสอบที่ครบถ้วนทั้งในแง่ของ

    – ETF ที่เป็นตัวแทนสินทรัพย์ต่างๆ

    – USD/THB Currency เพื่อใช้คำนวณผลกระทบจากค่าเงิน

    – USD Futures เพื่อใช้คำนวณผลกระทบการทำ Hedging

    Backtest Setting – เงินทุนเริ่มต้น: 1 ล้านบาท

    – ค่า Commission: 0.25%/Trade (รวม 0.5% ไปกลับ)

    – ค่า Slippage: 0.5%/Trade (รวม 1% ไปกลับ)

    – ภาษีกำไรจากการลงทุน ตปท: ไม่มีผลกระทบ

    – ค่าเงิน: ได้รับผลกระทบจากค่าเงิน USD/THB

    – ทำการทดสอบ US Permanent Portfolio เปรียบเทียบกับ Global Market Portfolio (GMP) ซึ่งเป็นผลตอบแทนของตลาดสินทรัพย์การลงทุนทั้งโลกรวมกัน

    Universe กองทุนรวมดัชนี ETF ที่เป็นตัวแทนของสินทรัพย์การลงทุนได้แก่

    – กองทุนดัชนีหุ้นสหรัฐฯ: SPY

    – กองทุนดัชนีตราสารหนี้รวมสหรัฐ: AGG

    – กองทุนดัชนีทองคำสหรัฐ: GLD

    – กองทุนดัชนีพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะสั้น 1-3 เดือน: BIL

    Entry Filter ทำการลงทุนตามรายชื่อที่ได้กำหนดไว้ในตระกร้าการลงทุน (Universe)
    Entry Conditions ทำการเข้าซื้อและ Rebalance ทุกต้นปี (Yearly Rebalance)
    Exit Conditions ทำการขายออกทุกปลายปี
    Position Size & Money Mgnt. – กำหนดสัดส่วนในกองทุนดัชนี SPY: 25%

    – กำหนดสัดส่วนในกองทุนดัชนีตราสารนี้สหรัฐ AGG: 25%

    – กำหนดสัดส่วนในกองทุนดัชนีทองคำสหรัฐ GLD: 25%

    – กำหนดสัดส่วนในกองทุนดัชนีพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะสั้น 1-3 เดือน BIL: 25%

    Risk Management ไม่มีการจัดการความเสี่ยงความเพิ่มเติม
    Order Type ซื้อและขายในวันทำการถัดไปหลังจากเกิดสัญญาณ
    Monitoring Time Frame ติดตามและตรวจสอบเป็นรายวัน

    ตารางที่ 3: รายละเอียดในการวิจัยทดสอบย้อนหลัง และสูตรกลยุทธ์การจัดพอร์ตการลงทุนแบบ Permanent Portfolio ของ Harry Browne

    4. ผลลัพธ์และการวิเคราะห์ (Results & Analysis)

    กราฟแสดงผลตอบแทน US Permanent Portfolio เปรียบเทียบกับ Global Market Portfolio (GMP) ตั้งแต่ ค.ศ. 2015-2025 ที่ผ่านการกระทบค่าเงินบาท USD/THB แล้ว

    ภาพที่ 5: กราฟแสดงผลตอบแทน US Permanent Portfolio เปรียบเทียบกับ Global Market Portfolio (GMP) ตั้งแต่ ค.ศ. 2015-2025 ที่ผ่านการกระทบค่าเงินบาท USD/THB แล้ว

    Portfolio Metrics US SQ-Permanent Portfolio Global Market Portfolio
    Cumulative Profit 0.78 0.61
    Annualized Return % (CAGR) 5.54 4.57
    Ann. StDev 6.96 8.45
    Max DD % -12.84 -15.43
    Longest DD (Months) -42.52 -25.29
    MAR Ratio 0.43 0.30
    Ann. Sharpe (Rf = 3%) 0.24 0.1
    Sortino Ratio 0.03 0.02
    Correlation with GMP 0.6906 1

    ตารางที่ 4: ตารางแสดงผลตอบแทน US Permanent Portfolio เปรียบเทียบกับ Global Market Portfolio (GMP) ตั้งแต่ ค.ศ. 2015-2025 ที่ผ่านการกระทบค่าเงินบาท USD/THB แล้ว

    Note 1: อ่านบทความ กลยุทธ์จัดพอร์ตการลงทุน Gllobal Market Portfolio (GMP) และ ผลกระทบของค่าเงินในการลงทุนต่างประเทศ ได้ที่นี่

    โดยจากผลลัพธ์ในการทดสอบย้อนหลังนั้นจะพบประเด็นที่น่าสนใจดังต่อไปนี้

    • 1. ในแง่ของผลตอบแทน Permanent Portfolio ให้ผลตอบแทนทบต้นต่อปีหรือ CAGR ที่สูงกว่าพอร์ตตลาดโลกหรือ Global Market Portfolio เล็กน้อยราว 1% ต่อปี อย่างไรก็ตาม มันเป็นสูตรการจัดพอร์ตการลงทุนไม่กี่ประเภท ที่มีความเสี่ยงทั้งเมื่อวัดจากความผันผวน Annualized Standard Deviation และ Maximum Drawdown ที่ต่ำกว่าพอร์ตตลาดโลก GMP Portfolio
    • 2. ด้วยการมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่าพอร์ตตลาดโลกนี้เอง จึงทำให้ Permanent Portfolio ได้ให้ผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่เหนือกว่า Global Market Portfolio ทั้งจากการวัดด้วย MAR Ratio (CAGR/Max.DD) และ Sharpe Ratio (Excess Return/Volatility) และ Sortino Ratio (Excess Return/Negative Volatility) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมีประสิทธิภาพในการสร้างผลตอบแทนภายใต้หนึ่งหน่วยความเสี่ยงที่สูงกว่าพอร์ตตลาดโลกในระดับหนึ่ง
    • 3. เมื่อสังเกตถึงความสม่ำเสมอของผลตอบแทนจากกราฟผลตอบแทนทบต้นย้อนหลังแบบเคลื่อนที่หรือ 3 Years Rolling Return ที่กราฟตรงช่องกลางนั้น จะพบว่า Permanent Portfolio ให้ผลตอบแทนที่เหนือกว่า 0 ราว 90% ตลอดระยะเวลาการทดสอบ โดยมีผลตอบแทนทบต้นย้อนหลังใน 3 ปีที่สูงกว่า GMP Portfolio สลับกันไปมาตลอดช่วงระยะเวลาการทดสอบ นักลงทุนจึงควรทำความเข้าใจถึงพฤติของผลตอบแทนของ Pemanent Portfolio ให้ดีก่อนทำการลงทุน
    • 4. ในแง่พฤติกรรมของผลตอบแทนนั้น Permanent Portfolio มีจังหวะในการเคลื่อนไหวของผลตอบแทนที่ค่อนข้างแตกต่างกับพอร์ตตลาดโลกอยู่ในระดับหนึ่ง โดยสะท้อนจากค่าสหสัมพันธ์หรือ Correlation ที่ราว 0.69 เท่านั้น (1 คือเหมือนเป๊ะ) โดยที่สูตรในการจัดพอร์ตการลงทุนประเภทอื่นๆนั้นมักมีค่า Correlation อยู่ในระดับ 0.9 ขึ้นไป
    • 5. แม้ว่าผลตอบแทนของ Permanent Portfolio จะไม่ได้เหนือกว่าผลตอบแทนของตลาดโกลหรือ GMP Portfolio มากสักเท่าไหร่นัก แต่จากจุดเด่นในแง่ของความเสี่ยงที่ต่ำ และคุณลักษณะของผลตอบแทนที่แตกต่างกับพอร์ตตลาดโลกนี้เอง จึงทำให้มันเหมาะสมที่จะเป็นพอร์ตการลงทุนที่ช่วยสิ่งเสริมและเติมเต็มพอร์ตการลงทุนประเภทอื่นๆ ที่ให้ผลตอบแทนคล้ายกับพอร์ตตลาดโลกในรูปแบบอื่นๆได้เป็นอย่างดี ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติที่สำคัญและหาได้ยากจากพอร์ตการลงทุนรูปแบบอื่นๆทั่วไป

    5. บทสรุปของพอร์ตการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่อมตะนิรันดร์กาล Permanent Portfolio ของ Harry Browne

    กราฟแสดงการเติบโตของสินทรัพย์ที่ใช้ในการสร้างพอร์ตการลงทุนแบบ Permanent Portfolio จากข้อมูลรายปี ตั้งแแต่ปี ค.ศ. 1928-2024

    ภาพที่ 6: กราฟแสดงการเติบโตของสินทรัพย์ที่ใช้ในการสร้างพอร์ตการลงทุนแบบ Permanent Portfolio จากข้อมูลรายปี ตั้งแแต่ปี ค.ศ. 1928-2024 โดยพบว่า ในช่วงเวลากว่า 100 ปีที่ผ่านมา Permanent Portfolio (สีดำ) ให้ผลตอบแทนที่ราว 6.43% โดยมีความผันผวน Volatility ที่เพียงราวปีละ 7.3% และความอัตราการถดถอยสูงสุดหรือ Maximum Drawdown ที่ราว -18.96% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าการถือครองสินทรัพย์เพียงประเภทเดียวทุกชนิด ไม่เว้นแม้แต่ตราสารหนี้ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงที่ต่ำที่สุดรองจากเงินสดเท่านั้น (Bond Volatility=-17.83 Max.DD=-21.46%) มันจึงเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเสถียรปลอดภัยของ Permanent Portfolio ในระยะยาวได้เป็นอย่างดีนั่นเอง

    จากข้อมูลทั้งหมดในบทความนี้ เราจึงจะเห็นได้ว่า Permanent Portfolio คืออีกหนึ่งในบทพิสูจน์ของปรัชญาการลงทุนที่เรียบง่าย ด้วยการยอมรับความจริงที่ว่าเราไม่สามารถทำนายอนาคตได้ และเลือกที่จะ “เตรียมพร้อม” ด้วยการจัดพอร์ตการลงทุนอย่างสมดุลย์ แทนการ “คาดเดาตลาด” ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดพลาดบ่อยครั้งในระยะยาว

    โดยที่จุดเด่นของกลยุทธ์จัดพอร์ตการลงทุนแบบ Permanent Portfolio นี้ก็คือ ความเรียบง่าย (Simplicity) ที่ใครๆ ก็เข้าใจและทำตามได้, ความทนทานทุกสภาวะ (All-Weather Resilience) ที่ช่วยปกป้องพอร์ตจากวิกฤตต่างๆ และที่สำคัญที่สุดคือการมีความเสี่ยงที่ต่ำ ซึ่งเหมาะกับ การลงทุนแบบไร้กังวล (Worry-Free Investing) ที่จะช่วยให้เรานอนหลับได้เต็มตาทุกคืน โดยไม่ต้องคอยกังวลว่าตลาดวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร และทำให้มันเป็นหนึ่งในกลยุทธ์จัดพอร์ตการลงทุนที่ดีที่สุดสำหรับนักลงทุนระยะยาว ที่ให้ความสำคัญกับการปกป้องเงินต้นและการเติบโตอย่างมั่นคง มากกว่าการไล่ล่าผลตอบแทนสูงสุดที่มาพร้อมกับความเสี่ยงสูงสุดนั่นเอง

    ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการลงทุนอย่างยั่งยืน และขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วย Share บทความนี้ให้เพื่อนนักลงทุนได้อ่านกันในวงกว้าง แล้วเจอกันใหม่ในบทความต่อไปนะครับ! 😊

    24
    SHARES
    24FacebookXLine
    asset allocation global strategic asset allocation gsaa harry browne permanent portfolio จัดพอร์ตการลงทุน
    SiamQuant Team
    • Website
    • Facebook
    • X (Twitter)

    Admin ผู้ดูแลเว็บไซต์ SiamQuant.com ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อการแบ่งปันความรู้และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการลงทุนอย่างเป็นระบบให้กับนักลงทุนไทย

    Related Posts

    กลยุทธ์จัดพอร์ตการลงทุนแบบ Talmud Portfolio จากภูมิปัญญาพันปีของชาวยิว

    December 16, 2025

    กลยุทธ์จัดพอร์ตการลงทุนแบบ 60/40 Portfolio พิมพ์เขียวและมาตรฐานของนักลงทุนสถาบันระดับโลก

    December 15, 2025

    กลยุทธ์จัดพอร์ตการลงทุนและกองมรดกแบบ 90/10 Portfolio ของ Warren Buffett

    December 12, 2025
    Leave A Reply Cancel Reply

    You must be logged in to post a comment.

    Continue with Google
    หมวดหมู่บทความ
    บทความล่าสุด

    กลยุทธ์​จัดพอร์ตการลงทุนอมตะนิรันดร์กาล Permanent Portfolio ของ Harry Browne

    December 17, 2025

    กลยุทธ์จัดพอร์ตการลงทุนแบบ Talmud Portfolio จากภูมิปัญญาพันปีของชาวยิว

    December 16, 2025

    กลยุทธ์จัดพอร์ตการลงทุนแบบ 60/40 Portfolio พิมพ์เขียวและมาตรฐานของนักลงทุนสถาบันระดับโลก

    December 15, 2025

    ลงทะเบียนรับข่าวสารและบทความ

    กรอก E-Mail ของคุณ เพื่อติดตามข่าวสาร, องค์ความรู้ และงานวิจัยด้านการลงทุนชิ้นใหม่ๆจากพวกเรา Free!

    Social Medias ของเรา
    • YouTube
    • Facebook
    กองทุนส่วนบุคคลเชิงปริมาณ
    Demo
    Facebook YouTube
    © 2025 Copyright by SiamQuant.

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.

    XEmail
    24
    SHARES
    24