Close Menu
SiamQuantSiamQuant
    Facebook YouTube
    Facebook YouTube
    SiamQuantSiamQuant
    ติดต่อเรา
    • กองทุนส่วนบุคคล
    • บทความและงานวิจัย
    • ร่วมงานกับเรา
      • รายละเอียดการรับสมัครทีมงาน
      • Researcher
      • Developer
      • Operations
      • Marketer
    • เกี่ยวกับเรา
      • เกี่ยวกับ SiamQuant
      • นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy)
    • มุมสมาชิก
      • บัญชีของฉัน
      • AlphaClass Video Courses
      • AlphaSuite Installer & Manual
    SiamQuantSiamQuant
    Facebook YouTube
    Home»งานวิจัยและบทความทั้งหมด»บทความแปลและสรุป»ความผิดพลาด 10 ประการ ที่ทำให้ผล Backtest เป็นสิ่งที่หลอกลวง!!
    บทความแปลและสรุป

    ความผิดพลาด 10 ประการ ที่ทำให้ผล Backtest เป็นสิ่งที่หลอกลวง!!

    Thanadon PraphutikulBy Thanadon PraphutikulNovember 10, 2019Updated:February 21, 2025No Comments5 Mins Read
    13.3k
    SHARES
    13.3kFacebookXLine

    ในบทความนี้ ผมได้หยิบนำเนื้อหาในงานสัมมนา QuantCon 2015 ที่จัดโดย Quantopian ในหัวข้อ “10 Mistakes Quants Make That Cause Backtest Lie” หรือ 10 ความผิดพลาดของนักพัฒนาระบบการลงทุน ที่ทำให้ผลการทดสอบ Backtest ออกมาดูดีแต่เมื่อนำไปลงทุนจริงกลับพังไม่เป็นท่าซึ่งบรรยายโดย Dr. Tucker Balch Managing Director ด้าน AI Research ของ J.P. Morgan AI

    ซึ่งผมหวังว่าความรู้ที่มาจากบริษัทด้านการเงินการลงทุนชั้นนำระดับโลกนี้ จะช่วยให้นักลงทุนที่พัฒนาระบบการลงทุนอยู่จะสามารถหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดดังกล่าวเหล่านี้ได้ หรือนักลงทุนที่สนใจการลงทุนด้วย Algorithm, AI หรือ Machine Learning จะได้รู้วิธีในการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผลลัพธ์ที่มาจากการวิจัย Backtest ในเบื้องต้นครับ

    Table of Contents

    Toggle
    • ทำความรู้จักกับ Dr. Tucker Balch
    • ความสำคัญของการ Backtest
    • ความผิดพลาดที่ 1 : จากกำหนดช่วงเวลา In-sample ด้วยข้อมูลทั้งหมดที่เรามี
    • ความผิดพลาดที่ 2 : การใช้ฐานข้อมูลที่แฝงไปด้วย Survivor Bias
    • ความผิดพลาดที่ 3 : การตั้งสมมติฐานว่าเรารู้ราคาปิด (Close Price) ของแต่ละวัน
    • ความผิดพลาดที่ 4 : การละเลยผลกระทบของตลาด
    • ความผิดพลาดที่ 5 : ซื้อหุ้นจำนวน 10 ล้านดาลล่าร์ ในขณะที่บริษัทมีมูลค่าเพียง 1 ล้านดอลล่าร์เท่านั้น
    • ความผิดพลาดที่ 6 : Data Mining Fallacy
    • ความผิดพลาดที่ 7 : การใช้ Benchmark ที่ไม่เหมาะสมในการเปรียบเทียบผลตอบแทน
    • ความผิดพลาดที่ 8 : เชื่อมั่นในกลยุทธ์ที่มาด้วยความฟลุ๊ค 
    • ความผิดพลาดที่ 9 : การตั้งสมมติฐานว่าจะซื้อได้ที่ราคาเปิด
    • ความผิดพลาดที่ 10 : หลงเชื่อในความซับซ้อนของโมเดล
    • บทส่งท้าย
    • Reference :

    ทำความรู้จักกับ Dr. Tucker Balch

    แต่ก่อนที่เราจะเข้าไปถึงเนื้อหาหลักนั้น เราจะมาทำความรู้จักกับ Dr. Tucker Balch กันก่อนสักเล็กน้อย โดยในปัจจุบัน Dr. Tucker Balch นั้นดำรงตำแหน่ง Managing Director ด้าน AI Research ที่ J.P. Morgan AI ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ J.P. Morgan โดยพอจะสรุปประวัติและผลงานในอดีตของเขาได้ดังนี้

    • ผู้เชี่ยวชาญด้าน Interactive Computing ที่สถาบันเทคโนโลยี Georgia (Georgia Institute of Technology)
    • ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Lucena Research ซึ่งเป็นบริษัทด้าน Fin-Tech ที่มีเชี่ยวชาญในด้าน Computational Finance, Quantitative Analysis & Software Development โดยสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
    • เป็นผู้สอนทางด้าน Artificial Intelligence และ Finance
    • เป็นผู้สอนที่ MOOCs ภายใต้หัวข้อ Machine Learning for Trading
    • วิจัยและตีพิมพ์เผยแพร่บทวิจัยมากกว่า 120 ชิ้นที่เกี่ยวข้องกัย Robotics และ Machine Learning

    ภาพที่ 1 : Dr. Tucker Balch ขณะบรรยายภายในงาน QuantCon 2015 ภายใต้หัวข้อ “10 Mistakes Quants Make That Cause Backtests to Lie”

    โดยเนื้อหาที่ Dr. Tucker Balch ได้บรรยายไว้นั้นไม่เพียงแต่จะพูดถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากผู้วิจัยในกระบวนการทดสอบวิจัยย้อนหลัง (Backtest) จนก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีเกินจริงแล้ว ยังพูดถึงวิธีการป้องกันความผิดพลาดดังกล่าว เพื่อให้ผลลัพธ์จากการทดสอบ Backtest มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นนั่นเอง 

    ความสำคัญของการ Backtest

    เนื่องจากการทดสอบวิจัยย้อนหลัง (Backtest) เป็นการจำลองเพื่อประเมินถึงความมีประสิทธิภาพของกลยุทธ์การลงทุนจากข้อมูลการซื้อขายในอดีต ซึ่งเป็นที่นิยมกันอย่างมากในกลุ่ม Hedge Funds และนักวิจัยที่อยากจะทำการทดสอบกลยุทธ์การลงทุนนั้นๆ ก่อนที่จะนำไปลงทุนจริงๆ โดยข้อดีของมันก็คือ ทำให้เราสามารถที่จะทดสอบประสิทธิภาพของแนวคิดต่างๆได้อย่างรวดเร็ว และปฏิเสธกลยุทธ์หรือแนวคิดการลงทุนที่ไม่มีประสิทธิภาพออกไปก่อนได้

    แต่อย่างไรก็ตามในหลายๆกรณีนั้นจะพบว่า กลยุทธ์การลงทุนให้ผลลัพธ์ที่ดีในขณะที่ทำการทดสอบ Backtest แต่เมื่อนำไปใช้จริงกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ซึ่งในจุดนี้ทำให้นักลงทุนหลายๆคนเข้าใจว่าการวิจัยทดสอบย้อนหลัง (Backtest) นั้นไม่น่าเชื่อถือ 

    แต่จริงๆแล้วเหตุผลของการที่ผล Backtest นั้นดีเกินจริง (Optimistics Backtest) นั้นก็มีอยู่ด้วยกันหลายประการซึ่งบางทีก็เกิดมาจากปัจจัยที่นอกเหนือการควบคุมของผู้วิจัย แต่ก็มีหลายๆครั้งที่ความผิดพลาดนั้นเกิดขึ้นมาจากการมองข้ามในเรื่องทั่วๆไป (Common Mistake) หรือเกิดจากสมมุติฐานที่ผิดผลาดอย่างร้ายแรง (Insidious Mistake) ของนักวิจัย

    ซึ่งในการบรรยายนี้ Dr. Tucker Balch จะมาแสดงให้เห็นว่าเราจะการหลีกเลี่ยงความผิดพลาดดังกล่าวได้อย่างไร โดยได้แสดงข้อผิดพลาด 10 ข้อ ที่มักเกิดระหว่างการวิจัยทดสอบและพัฒนากลยุทธ์การลงทุน โดยจะเรียงตามลำดับความสำคัญจากมากไปน้อย ได้ดังนี้

    ความผิดพลาดที่ 1 : จากกำหนดช่วงเวลา In-sample ด้วยข้อมูลทั้งหมดที่เรามี

    กลยุทธ์หลายๆกลยุทธ์จำเป็นที่จะต้องมีชุดข้อมูลสำหรับการทดสอบและสร้างโมเดลออกมา(In-Sample Data) ยกตัวอย่างเช่น โมเดลการพยากรณ์ราคาในอนาคตด้วยสมการการถดถอยเชิงเส้น (Linear Regression) ซึ่งเราจำเป็นต้องใช้ข้อมูลจำนวนหนึ่งสำหรับการสร้างโมเดล ซึ่งมันก็สมเหตุสมผลที่นักวิจัยอยากที่จะใช้ข้อมูลจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในการนำมาสร้างโมเดลที่แม่นยำ 

    แต่อย่างไรก็ตาม เราต้องไม่ใช่ข้อมูลทั้งหมดที่เรามี เพราะมันจะทำให้ผลลัพธ์ของโมเดลนั้นดูดีเกินจริงเป็นอย่างมากจากผลของการพยายามที่จะหาตัวแปรที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด (Overfit) ด้วยคอมพิวเตอร์ จนเป็นเหตุทำให้ผลลัพธ์นั้นออกมาดีจนเกินจริง และไม่สามารถเชื่อถือได้ ซึ่งนี่ก็คือ ข้อผิดพลาดอย่างแรก ที่นักวิจัยหลายๆคนมักจะทำในการทดสอบ Backtest 

    วิธีการป้องกัน : วิธีที่ปฏิบัติที่ดีที่สุดคือ การแบ่งชุดข้อมูลสำหรับการทดสอบออกเป็น 2 ชุด คือ 

    1. ข้อมูลชุดแรกใช้สำหรับการสร้างและพัฒนาโมเดล (In-Sample Data) โดยเราอาจจะใช้ข้อมูลตั้งแต่ก่อนปี 2007 เป็นต้น
    2. ข้อมูลชุดที่สอง ที่นำมาใช้ทดสอบ โมเดลที่เราพัฒนามาเรียบร้อยแล้ว โดยการทดสอบกับข้อมูลที่โมเดลยังไม่เคยเจอนั้น ซึ่งเรียกว่า Out-of-Sample Data ยกตัวอย่างเช่น ข้อมูลตั้งแต่หลังปี 2008 เป็นต้น

    อย่างไรก็ตามข้อควรระวังคือ ถ้าคุณพัฒนาโมเดลด้วยข้อมูลในปี 2014 ถึงปัจจุบัน แต่คุณนำข้อมูลที่ได้ไปทดสอบ Out of Sample กับข้อมูลก่อนหน้าปี 2014 เช่น ปี 2008-2013 จะเท่ากับว่าจริงๆแล้วโมเดลของเราพัฒนาโดยแอบดูอนาคตหรือที่เรียกว่า Lookahead Bias นั่นเอง

    ความผิดพลาดที่ 2 : การใช้ฐานข้อมูลที่แฝงไปด้วย Survivor Bias

    เพื่อให้เข้าใจในประเด็นนี้ได้ง่ายขึ้น Dr. Tucker Balch ได้ยกตัวอย่างว่า หากผมอยากทำการทดสอบว่ายาตัวหนึ่งสามารถลดความดันเลือดได้ โดยมีขั้นตอนการทดสอบดังนี้

    1. กลุ่มตัวอย่างที่เกิดจากการสุ่มมาทั้งหมด 500 คน
    2. ทำการให้ยากับกลุ่มตัวอย่างดังกล่าวทุกๆวัน เป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 5 ปี
    3. ประเมินระดับความดันเลือดในแต่ละวัน

    โดยในช่วงแรกของการทดสอบพบว่าค่าเฉลี่ยความดันเลือด (BP) ของผู้ร่วมทดลองมีค่าเท่ากับ 160/110 และเมื่อจบการทดลองพบว่าค่าเฉลี่ยความดันเลือดมีค่าเท่ากับ 120/80 ซึ่งมีการลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ 

    ประเด็นก็คือ หากเราสนใจแค่ข้อมูลเพียงด้านบนเพียงอย่างเดียว เราจะสรุปผลการทดลองได้ว่ายาตัวนี้มีประสิทธิภาพในการลดความดันเลือด แต่ในความเป็นจริงแล้วเราไม่สามารถด่วนสรุปเช่นนั้นได้ เนื่องจากหากผมให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จริงๆแล้วมีคนทั้งสิ้น 58 คนเสียชีวิตจากการทดลอง และมี 1 คนที่ใช้ยาแล้วความดันขึ้นสูงจนตาย ดังนั้นที่จริงแล้วเราจึงไม่สามารถด่วนสรุปค่าทางสถิติจากกลุ่มตัวอย่างที่อยู่รอดในตอนสุดท้ายเท่านั้นได้

    เช่นเดียวกันในกรณีของตลาดหุ้น หากเราทำการทดสอบย้อนหลังตั้งแต่ปี 2008 โดยกำหนด Universe เป็นหุ้นที่อยู่ในกลุ่มดัชนี S&P 500 ในปัจจุบัน ซึ่งการกระทำนี้ถือว่าผิดพลาดอย่างมหันต์โดยสามารถดูผลกระทบของมันได้จากภาพด้านล่าง (ภาพนำมาจาก Slide การบรรยายของ Dr. Tucker Balch)

    ภาพที่ 1 : ภาพดัชนี S&P 500 (เส้นสีดำ) กับผลตอบแทนของหุ้นที่อยู่ในดัชนี S&P 500 ในปี 2012 (เส้นสีเขียว) ซึ่งหุ้นกลุ่มนี้อยู่รอดจากวิกฤติซับไพรม์ปี 2008 ทั้งสิ้น

    ภาพที่ 2 : ภาพดัชนี S&P 500 (เส้นสีดำ) , ผลตอบแทนของหุ้นที่อยู่ในดัชนี S&P 500 ในปี 2012 (เส้นสีเขียว) ซึ่งหุ้นกลุ่มนี้อยู่รอดจากวิกฤติซับไพรม์ปี 2008 ทั้งสิ้น และผลตอบแทนของหุ้นที่อยู่ในดัชนี S&P 500 ในปี 2008 (เส้นสีแดง) ซึ่งมีบางตัวไม่สามารถอยู่รอดผ่านพ้นวิกฤติซับไพรม์มาได้

    โดยสิ่งที่่เกิดขึ้นคือ หากเราใช้หุ้นที่อยู่ในดัชนี  S&P 500 ในช่วงปี 2008 เราจะพบว่ามีหุ้นกว่า 10% ที่เลิกกิจการและถูกถอดถอนออกจากตลาดหุ้น (Delisted) ซึ่งหากเราทำการทดสอบกับชุดข้อมูลที่มีแต่หุ้นที่อยู่รอด (Survivor) เท่านั้น จะได้ผลดังนี้

    ภาพที่ 3 : ภาพความแตกต่างของการทดสอบกลยุทธ์บนฐานข้อมูลมี Survivorship Bias (เส้นสีเขียว) เปรียบเทียบกับทดสอบบนฐานข้อมูลที่ปราศจาก Survivorship Bias (เส้นสีม่วง) ข้อมูลจาก Lucena Research (ภาพจากสไลด์ประกอบการบรรยายของ Dr. Tucker Balch)

    โดยสิ่งที่ Lucena Research พบก็คือ การทดสอบบนฐานข้อมูลที่มี Survivorship Bias นั้นจะมีผลตอบแทนเพิ่มขึ้นมากกว่าการทดสอบบนฐานข้อมูลที่ปราศจาก Survivorship Bias มากถึง 3-5% ซึ่งเป็นสาเหตุข้อ 2 ที่ทำให้ผลลัพธ์ดีเกินจริง 

    วิธีการป้องกัน : ทำการทดสอบกลยุทธ์การลงทุนบนฐานข้อมูลที่ประกอบไปด้วยหุ้นทั้งหมดในอดีต (โดยฐานข้อมูล AlphaSuite ของ SiamQuant มีการเก็บข้อมูลหุ้นที่ถูก Delisted ไปทั้งหมด)

    ความผิดพลาดที่ 3 : การตั้งสมมติฐานว่าเรารู้ราคาปิด (Close Price) ของแต่ละวัน

    สำหรับความผิดพลาดในข้อ 3 นี้ เกิดจากการที่นักวิจัยทำการตั้งสมมติฐานว่า เขาสามารถที่จะรู้ข้อมูลราคาปิดและสามารถส่งคำสั่งซื้อขายที่ราคาปิดนั้นได้ ยกตัวอย่างเช่น  การใช้ข้อมูลราคาปิด (Closing Price) สำหรับการคำนวณ Technical Indicator และกลยุทธ์การลงทุนใช้ Indicator เหล่านั้นเป็นสัญญาณการซื้อขาย

    ซึ่งความผิดพลาดจุดนี้เอง ทำให้กลยุทธ์นั้นมี Lookahead Bias หรือการแอบมองอนาคต เนื่องจากหากเราใช้ราคาปิดในการคำนวณค่าของ Indicator เราจะสามารถทำได้แค่การทดสอบ Backtest เท่านั้น แต่เมื่อนำไปใช้ปฏิบัติจริง เราจะไม่มีทางที่จะรู้ราคาปิดของวันนั้นๆได้เลยจนกว่าตลาดจะปิด ซึ่งเราก็จะไม่สามารถส่งคำสั่งตามในผล Backtest ได้ โดย Lookahead Bias เช่นนี้ มักทำให้ผลลัพธ์จากการทดสอบ Backtest ดีเกินจริงนั่นเอง

    หรืออีกหนึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การตั้งสมมติฐานว่าเราสามารถซื้อขายได้ในวันเดียวกับที่งบการเงินประกาศออกมา ทั้งที่ในความเป็นจริงการประกาศงบการเงินมักจะประกาศภายหลังจากตลาดปิดนั่นเอง

    วิธีการป้องกัน : อย่าตั้งสมมติฐานการส่งคำสั่งซื้อขายที่ไม่สามารถทำได้ในการลงทุนจริง 

    หมายเหตุ : สำหรับคนที่ใช้ Amibroker ก็คือการตั้งค่า SetTradeDeLays() นั่นเองครับ

    ความผิดพลาดที่ 4 : การละเลยผลกระทบของตลาด

    เนื่องจากการส่งคำสั่งซื้อขายในตลาดนั้นทำให้เกิดผลกระทบต่อราคาของหุ้น แต่ข้อมูลในอดีตที่ใช้ในการ Backtest นั้นไม่ได้รวมถึงข้อมูลการซื้อขายของคุณ ทำให้ราคาที่เกิดขึ้นในอดีตมันไม่สามารถเป็นตัวแทนของราคาที่คุณจะสามารถซื้อได้จากการเทรดจริงๆ โดยเพื่อให้เข้าใจง่ายให้สังเกตภาพดังกล่าวนี้

    ภาพที่ 4 : ตัวอย่างผลกระทบของราคาหุ้นที่เกิดจากการซื้อขายใน Backtest (A และ C) vs. การซื้อขายจริง (B) (ภาพจากสไลด์ประกอบการบรรยายของ Dr. Tucker Balch)

    โดยภาพที่ 4 นี้ เป็นตัวอย่างที่อธิบายถึงผลตอบแทนของกลยุทธ์ที่ Dr. Tucker Balch ได้ช่วยในการพัฒนาขึ้นมา โดยเขาพบว่า ในช่วงระยะเวลา A ซึ่งเป็นช่วงระเวลาของการทดสอบวิจัยนั้น เขาพบว่ากลยุทธ์การลงทุนให้ผลตอบแทนที่น่าทึ่งเป็นอย่างมาก (เส้นสีส้ม) โดยมีค่า Sharpe Ratio ถึง 7.0! ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวนี้ ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่จะนำกลยุทธ์ดังกล่าวไปใช้ในตลาดจริง

    แต่เมื่อเขานำกลยุทธ์มาใช้เทรดจริงในช่วงระยะเวลา B กลับพบว่าผลตอบแทนจากกลยุทธ์ดังกล่าว (เส้นสีเขียว) กลับไม่เหมือนกับตอนทดสอบวิจัยเลยซักนิดเดียว ทำให้ต่อมาเขาจึงเลิกใช้กลยุทธ์ดังกล่าวไป แต่อย่างไรก็ตาม พอเราหยุดลงทุนบนกลยุทธ์ดังกล่าว และทำการตรวจสอบผลลัพธ์หลังจากนั้นด้วยการติดตามราคาหุ้นและทดสอบในกระดาษ (Paper Trade) ในช่วงระยะเวลา C ปรากฎว่าผลลัพธ์กลับมาดีขึ้นอีกครั้ง

    ซึ่งในตอนแรกนั้น Dr. Tucker Balch คิดว่าเป็นเพราะความผิดพลาดในการทำนายของโมเดล ดังนั้นเขาจึงทดสอบ (Backtest) อีกครั้งในช่วง B แต่ผลทดสอบกลับออกมาคล้ายๆเหมือนผลจากการเทรดจริง ซึ่งความแตกต่างเพียงระหว่างจุดที่ได้ Sharpe Ratio 7.0 กับจุดที่นิ่งคือ การที่เขาเข้าไปมีส่วนร่วมในตลาดนั่นเอง

    โดยสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ พอเราเข้าไปมีส่วนร่วมในตลาดและเม็ดเงินของเรามีขนาดที่ใหญ่เกินกว่าสภาพคล่องที่มีอยู่ ทำให้พฤติกรรมราคานั้นมีการเคลื่อนไหวที่แตกต่างออกไปจากสภาพที่เราทำการวิจัย และเมื่อการทดสอบของเราไม่ได้มีการจำลองผลกระทบการเข้าไปมีส่วนร่วมของเราเข้าไป จะส่งผลให้ผลลัพธ์นั้นดีแค่ในช่วงการทดสอบ 

    ซึ่งจริงๆแล้วพอเรามีการปรับเงื่อนไขการทดสอบโดยเพิ่มผลกระทบจากการเข้าไปมีส่วนร่วมของเม็ดเงินเราด้วยนั้น กลับพบว่าจริงๆผลตอบแทนของกลยุทธ์นั้นแบนราบไปตลอดทุกช่วงเวลา ซึ่งหากเรารู้อย่างงี้ตั้งแต่แรก เราคงไม่เอากลยุทธ์นี้ไปใช้เทรดจริงหรอก

    วิธีการป้องกัน : ให้เพิ่มระดับความเข้มงวดของการทดสอบโดยทำการตั้งค่าสลิปเพจ (Slippage) และมีการจำลองถึงผลกระทบหรือ “Market Impact” จากการที่เราเข้าไปมีส่วนร่วมในตลาดอีกด้วย 

    ความผิดพลาดที่ 5 : ซื้อหุ้นจำนวน 10 ล้านดาลล่าร์ ในขณะที่บริษัทมีมูลค่าเพียง 1 ล้านดอลล่าร์เท่านั้น

    โดยข้อผิดพลาดดังกล่าวนี้เกิดจากข้อกำหนดในการทดสอบที่มีการอนุญาตให้ซื้อหุ้นจำนวน 10 ล้านดอลล่าร์ ในขณะที่ตัวบริษัทเองมีมูลค่าเพียง 1 ล้านดอลล่าร์เท่านั้น ซึ่งการกระทำเช่นนี้จะขัดกับสภาพความเป็นจริงอย่างมาก ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีเกินจริงใน Backtest 

    เนื่องจากบริษัทขนาดเล็กนั้นมักจะให้ผลตอบแทนที่สูง (และมีความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน) และส่วนมากจากการขุดค้นข้อมูล (Data Mining) นั้น Algorithm ต่างๆก็มักจะไปค้นพบเจอกับหุ้นเหล่านี้ โดยหากพิจารณาว่าทำไมหุ้นเหล่านี้ถึงมีผลตอบแทนเหนือตลาดหรือ Alpha น่ะหรอ? คำตอบก็คือ เนื่องจากกองทุนที่มีขนาดใหญ่นั้น ไม่สามารถลงทุนในเหล่านี้ได้เพราะขาดสภาพคล่องในการซื้อขายจริง ดังนั้นจึงมีคนจำนวนไม่มากนักที่จะสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากหุ้นเหล่านี้ได้นั่นเอง 

    เพราะฉะนั้นกรุณาตรวจสอบให้ชัดเจนก่อนว่า คุณตั้งสมมติฐานการทดสอบ Backtest ให้เหมาะสมกับความเป็นจริงด้วย

    วิธีการป้องกัน : กำหนดระดับความเข้มงวดของการทดสอบให้เข้าซื้อได้ไม่เกินสภาพคล่องที่มีอยู่จริงในตลาด รวมถึงเพิ่มระดับสลิปเพจ (Slippage) จากการซื้อขายให้สมจริง

    ความผิดพลาดที่ 6 : Data Mining Fallacy

    ถึงแม้คุณสามารถที่จะหลีกเลี่ยงหลุ่มพรางที่ผมกล่าวมาทั้งหมดข้างต้นได้นั้น แต่ถ้าคุณยังพยายามทดสอบกลยุทธ์การลงทุนให้มากพอ ยังไงก็ตามคุณก็จะต้องพบซักกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทนที่สูงในการทดสอบวิจัย Backtest อยู่ดี แต่เมื่อนำมาซื้อขายจริงประสิทธิภาพของกลยุทธ์นั้นอาจไม่ได้แตกต่างกับการสุ่มเลือกซื้อหุ้นเลยก็ได้ (Random Stock Picker)

    แล้วคำถามคือ เราจะป้องกันมันได้อย่างไร? คำตอบก็คือ เราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตาม คุณสามารถที่จะทำ Forward Test ก่อนที่จะลงเงินจริงๆได้

    วิธีการป้องกัน : ทำ Forward Test หรือ Paper Trade ก่อนจะลงเงินจริงๆ

    ความผิดพลาดที่ 7 : การใช้ Benchmark ที่ไม่เหมาะสมในการเปรียบเทียบผลตอบแทน

    ในการเปรียบเทียบประสิทธิภาพหรือผลตอบแทนของกลยุทธ์การลงทุนนั้น คุณจะเป็นจะต้องใช้ Benchmark ที่เหมาะสมด้วย ยกตัวอย่างเช่น หากกลยุทธ์ของคุณลงทุนในดัชนี S&P 500 แบบ Long Only ดังนั้นการใช้ดัชนี S&P 500 เป็น Benchmark ในการเปรียบเทียบนี้ถือว่าเหมาะสมแล้ว

    แต่หากกลยุทธ์การลงทุนของทุนเป็นลักษณะเป็นกลาง (Neutral) หรือลงทุนทั้งด้าน Long และ Short ซึ่งในกรณีนี้หากเราใช้ ดัชนี S&P 500 มาทำการเปรียบเทียบจะไม่เหมาะสม เพราะอาจจะทำให้เราสรุปผลการวิจัยได้ไม่ถูกต้อง จนเป็นสาเหตุที่ทำให้เราละทิ้งกลยุทธ์การลงทุนที่ดีและมีประสิทธิภาพไปก็ได้

    วิธีการป้องกัน : การกำหนด Benchmark ที่เหมาะสมสำหรับการเปรียบเทียบผลตอบแทนของกลยุทธ์

    ความผิดพลาดที่ 8 : เชื่อมั่นในกลยุทธ์ที่มาด้วยความฟลุ๊ค 

    สำหรับบางกลยุทธ์การลงทุนที่มีการถือครองสินทรัพย์อยู่ตลอดช่วงระยะเวลา (Stateful Strategy) หรือกลยุทธ์ที่เป็นประเภท Buy & Hold / Rotation ยกตัวอย่างเช่น กลยุทธ์ที่ทำการเข้าซื้อจนลงทุนเต็มพอร์ต 100% ในวันแรกและถือครองไปจนครบระยะเวลา ซึ่งจริงๆแล้วกลยุทธ์รูปแบบนี้จะทำให้พลาดโอกาสการเข้าซื้อในวัดถัดๆมา ดังนั้นกลยุทธ์เดียวกันนี้หากไม่ได้เริ่มต้นวันเดียวกัน หุ้นที่ถืออยู่ในพอร์ตโฟลิโอทั้งสองก็จะมีความแตกต่างกันซึ่งส่งผลให้ผลตอบแทนที่ได้รับนั้นแตกต่างกันได้

    ซึ่งจากที่ Dr. Tucker Balch พบเห็นมาก็คือ ถึงแม้จะใช้กลยุทธ์ Buy & Hold / Rotation แบบเดียวกัน แต่ผลตอบแทนกลับแตกต่างกันได้มากถึง 50% โดยวันที่เริ่มต้นลงทุนต่างกันเพียง 2 อาทิตย์เท่านั้น

    วิธีการป้องกัน : หากคุณใช้กลยุทธ์ประเภทดังกล่าว ให้ทดสอบอย่างมั่นใจว่าหากเริ่มต้นวันที่แตกต่างกันนั้น ความแปรปรวนของผลตอบแทนจะเป็นเช่นไร? โดยที่หากความแปรปรวนของผลตอบแทนสูงมากๆคุณควรจะเริ่มสงสัยว่ากลยุทธ์การลงทุนที่คุณใช้มีความเสถียรจริงหรือไม่?

    ความผิดพลาดที่ 9 : การตั้งสมมติฐานว่าจะซื้อได้ที่ราคาเปิด

    Dr. Tucker Balch นั้นมองว่าราคาเปิด (Opening Price) นั้นถือสิ่งที่คาดเดาได้ยากโดยเฉพาะเรื่องของสภาพคล่องและผลกระทบของราคาต่อการซื้อขาย (Market Impact) ดังนั้น การตั้งสมมติฐานว่าเราจะซื้อได้ที่ราคาเปิดอย่างแน่นอน เท่ากับเราตัดปัจจัยทางด้านอิทธิพลของตลาดออกไป (ซึ่งจะคล้ายๆกับความผิดพลาดที่ 3 นั่นเอง)

    ความผิดพลาดที่ 10 : หลงเชื่อในความซับซ้อนของโมเดล

    จากประสบการณ์ที่เจอมา โมเดลที่มีความซับซ้อนสูงนั้น มักจะเกิดขึ้นจากการ Overfit เป็นส่วนมาก แต่ในทางกลับกัน โมเดลที่มีวิธีการที่เรียบง่าย (Simple) ซึ่งเกิดจากรากฐานแนวคิดที่สมเหตุสมผลนั้นมักจะนำไปสู่โมเดลที่ดี โดยโมเดลที่ดีนั้นมักจะใช้ปัจจัย (Factor) ในการลงทุนเพียงหยิบมือประกอบกับกฎการลงทุน (Rule) ที่เรียบง่าย ซึ่งมักส่งผลให้กลยุทธ์นั้นมีความเสถียร (Robustness) และลดความเสี่ยงจากการเกิด Overfitting อีกด้วย

    The More Complex, The Less You Should Trust it

    ยกตัวอย่างเช่น หากกลยุทธ์อันแรกประกอบไปด้วย 3 Factors และให้ผลตอบแทนที่ 150% แต่อีกกลยุทธ์หนึ่งให้ผลตอบแทนมากถึง 250% แต่กลับใช้ถึง 8 Factors ซึ่งในมุมมองของ Dr. Tucker Balch นั้นเขามักเชื่อถือกลยุทธ์ที่ใช้ Factor น้อยกว่าเสมอ เนื่องจากมันมักจะมีความเสถียรที่มากกว่า

    วิธีการป้องกัน : กำหนดเพดานของ Factor ที่จะใช้ในโมเดล และใช้ตรรกะที่เรียบง่ายสำหรับการพัฒนาเป็นโมเดลขึ้นมา

    บทส่งท้าย

    ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นหลุมพรางของการทดสอบวิจัยทั้งหมด 10 ประการที่ Dr. Tucker Balch ได้รวบรวมและแบ่งปันเพื่อเป็นข้อสังเกตและจุดเตือนใจเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเรานั้นเจ็บปวดจากการที่ได้ผลลัพธ์การวิจัยที่สวยหรูเกินจริง แต่ในความเป็นจริงกลับพังไม่เป็นท่า

    โดยเราหวังว่าความรู้ดังกล่าวนี้ จะเป็นประโยชน์ให้กับทุกคนที่สนใจที่จะลงทุนอย่างเป็นระบบครับ จนกว่าจะพบกันใหม่ ขอให้มีความสุขกับการลงทุนครับ

    Reference :

    • วีดีโอการบรรยายของ Dr. Tucker Balch ภายใต้หัวข้อ “10 Mistakes Quants Make That Cause Backtests to Lie”
    • สไลด์ประกอบการบรรยายของ Dr. Tucker Balch ภายใต้หัวข้อ “10 Mistakes Quants Make That Cause Backtests to Lie”
    • Lucena Research
    13.3k
    SHARES
    13.3kFacebookXLine
    Algo Backtest Dr. Tucker Balch Quantitative Investing System Trade
    Thanadon Praphutikul

    ทีมงานวิจัยระบบการลงทุน SiamQuant Alpha Researcher ด้วยความที่ต้องการสร้างผลตอบแทนให้ชนะตลาด จึงเริ่มต้นการลงทุนอย่างเป็นระบบมามากกว่า 5 ปีเพราะทำให้เราสามารถพิสูจน์ถึงแนวคิดการลงทุนต่างๆได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่จับต้องได้จริง ^^

    Related Posts

    พิสูจน์ความอันตรายของการเก็งกำไรระยะสั้นด้วยทฤษฎี Risk of Ruin

    July 19, 2020

    เสาหลัก 3 ประการเพื่อความสำเร็จในการลงทุนอย่างเป็นระบบ

    July 6, 2020

    ระบบการลงทุน “หุ้นห่านทองคำ”

    May 19, 2020
    Leave A Reply Cancel Reply

    You must be logged in to post a comment.

    Continue with Google
    หมวดหมู่บทความ
    บทความล่าสุด

    สุดยอดสินทรัพย์ทางการเงิน เพื่อการจัดพอร์ตการลงทุนระดับโลกที่ยั่งยืนเหนือกาลเวลา

    November 14, 2025

    มหัศจรรย์แห่งการจัดพอร์ตการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์แบบ Global Strategic Asset Allocation (GSAA)

    November 12, 2025

    🤝 ประกาศความร่วมมือทางธุรกิจระหว่าง SiamQuant และ Krungthai XSpring (KTX)

    November 11, 2025

    ลงทะเบียนรับข่าวสารและบทความ

    กรอก E-Mail ของคุณ เพื่อติดตามข่าวสาร, องค์ความรู้ และงานวิจัยด้านการลงทุนชิ้นใหม่ๆจากพวกเรา Free!

    Social Medias ของเรา
    • YouTube
    • Facebook
    กองทุนส่วนบุคคลเชิงปริมาณ
    Demo
    Facebook YouTube
    © 2025 Copyright by SiamQuant.

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.

    XEmail
    13.3k
    SHARES
    13.3k