Close Menu
SiamQuantSiamQuant
    Facebook YouTube
    Facebook YouTube
    SiamQuantSiamQuant
    ติดต่อเรา
    • กองทุนส่วนบุคคล
    • บทความและงานวิจัย
    • ร่วมงานกับเรา
      • รายละเอียดการรับสมัครทีมงาน
      • Researcher
      • Developer
      • Operations
      • Marketer
    • เกี่ยวกับเรา
      • เกี่ยวกับ SiamQuant
      • นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy)
    • มุมสมาชิก
      • บัญชีของฉัน
      • AlphaClass Video Courses
      • AlphaSuite Installer & Manual
    SiamQuantSiamQuant
    Facebook YouTube
    Home»งานวิจัยและบทความทั้งหมด»บทความแปลและสรุป»“เครื่องจักรเศรษฐกิจทำงานอย่างไร?” How The Economic Machine Works? โดย Ray Dalio แปลโดย SiamQuant Intern 2017
    บทความแปลและสรุป

    “เครื่องจักรเศรษฐกิจทำงานอย่างไร?” How The Economic Machine Works? โดย Ray Dalio แปลโดย SiamQuant Intern 2017

    Koedkao PeeratiyuthBy Koedkao PeeratiyuthNovember 12, 2017Updated:May 1, 20192 Comments9 Mins Read
    11.6k
    SHARES
    11.6kFacebookXLine

    “ระบบเศรษฐกิจนั้นไม่ต่างอะไรกับเครื่องจักร ผมเขียนบทความชิ้นนี้ขึ้นมาเพื่ออธิบายความเชื่อของผมว่าเครื่องจักรนี้มันทำงานอย่างไร การอธิบายของผมนั้นจะแตกต่างจากการอธิบายของนักเศรษฐศาสตร์โดยทั่วไป เพราะฉะนั้นคุณจะต้องตัดสินใจดูว่าสิ่งที่ผมอธิบายนั้นมันสมเหตุสมผลหรือเปล่า โดยผมจะเริ่มอธิบายจากอะไรที่เรียบง่ายก่อนเพื่อที่จะให้คุณสามารถเข้าใจและประเมินสิ่งที่ผมอธิบายเมื่อเริ่มเข้าสู่เรื่องที่ทำความเข้าใจได้ยาก”

    Ray Dalio

    ผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associates

    Table of Contents

    Toggle
    • เครื่องจักรเศรษฐกิจทำงานอย่างไร? : การพิจารณาจากมุมมองของการซื้อขาย “Transactions-Based Approach”
    • ระบบตลาดมีการทำงานอย่างไร?
    • แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ “The Three Big Forces”
    • วัฏจักรหนี้และเกมเศรษฐี
    • ผมมักพบว่าไม่ว่าที่ไหนเมื่อผมได้เริ่มอธิบายเรื่องวัฏจักรหนี้โดยเฉพาะวัฏจักรหนี้ระยะยาว พวกคุณจะขมวดคิ้วและตอบสนองเหมือนกับว่าเรากำลังคุยเรื่องโหราศาสตร์ ด้วยเหตุนี้ก่อนที่ผมจะเริ่มการอธิบายเกี่ยวกับ Debt cycle ทั้ง 2 รูปแบบนี้ เราควรจะมีการอธิบายเบื้องต้นนิดหน่อยเกี่ยวกับ “วัฏจักร”
    • เงินและเครดิตในกลไกของตลาด
    • ประเภทของระบบการเงิน
    • The Long-Term Debt Cycle
    • The Short-Term Debt Cycle

    เครื่องจักรเศรษฐกิจทำงานอย่างไร? : การพิจารณาจากมุมมองของการซื้อขาย “Transactions-Based Approach”

    คำว่า “เศรษฐกิจ” อธิบายง่ายๆก็คือ การรวมตัวกันของรายการซื้อ/ขาย (Transaction) ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่ไม่ซับซ้อนแต่เพราะว่ารายการซื้อ/ขาย นั้นเกิดขึ้นในทุกหย่อมหญ้าที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ทำให้มันมีปริมาณมหาศาลและทำให้การอธิบายความหมายของเศรษฐกิจกลายเป็นเรื่องที่เหมือนจะสุดแสนซับซ้อนในบทความนี้ผมจะเปลี่ยนจากการมองเศรษฐกิจดั้งเดิมแบบ “Top down” เป็นการมองจากมุมมอง “Transaction Up” ซึ่งจะช่วยทำให้เราสามารถทำความเข้าใจกลไกของเศรษฐกิจได้ง่ายขึ้น

    โดยความหมายของคำว่า Transaction คือผู้ซื้อ (Buyer) เป็นผู้มอบเงินสดหรือเครดิต (Credit) ให้กับผู้ขาย(Seller) โดยผู้ขายก็จะทำการมอบสินค้า, บริการหรือสินทรัพย์ทางการเงินให้แก่ผู้ซื้อเป็นการแลกเปลี่ยน

    ตลาด (Market) จึงประกอบไปด้วยผู้ซื้อและผู้ขายทั้งหมด ที่ต้องการทำการแลกเปลี่ยนสินค้าชนิดเดียวกันยกตัวอย่างเช่น ตลาดข้าวสาลี, ตลาดน้ำมัน, ตลาดหุ้น  และในแต่ละตลาดก็จะประกอบไปด้วยผู้คนมากมายที่ทำการซื้อ/ขายในปริมาตรที่แตกต่างกันด้วยเหตุผลที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งทุกอย่างนี้เกิดขึ้นพร้อมๆกันในช่วงเวลาใดๆก็ตามที่ตลาดเปิดทำการ

    สำหรับเศรษฐกิจ (Economy) นั้นก็คือเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่ทำงานด้วยฟันเฟืองเล็กๆจากรายการซื้อ/ขายทั้งหมดทุกๆรายการจากทุกๆตลาดในท้องถิ่น, ประเทศ หรือ ทั้งโลก ทำให้ความเข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจจึงอาจจะดูเหมือนเป็นสิ่งที่ซับซ้อนแต่ในความเป็นจริงแล้วเศรษฐกิจก็คือ “การทำงานร่วมกันของสิ่งที่เรียบง่ายที่มีจำนวนมหาศาล”

    สำหรับระบบเศรษฐกิจใดๆหรือตลาดใดๆถ้าหากคุณรู้ปริมาณการใช้จ่ายเงิน (หรือเครดิต) ทั้งหมดและรู้จำนวนสินค้าที่ขายได้ทั้งหมด นั่นเท่ากับคุณมีข้อมูลทุกอย่างที่ต้องใช้เพื่อเข้าใจสภาพเศรษฐกิจของตลาดนั้นๆตัวอย่างเช่น ราคาของสินค้าหรือบริการใดๆสามารถหาค่าได้จากปริมาณการใช้จ่ายทั้งหมดของผู้ซื้อ หารด้วยปริมาณสินค้าทั้งหมดที่ขายได้โดยผู้ขายเพราะฉะนั้นเพื่อที่จะเข้าใจหรือพยากรณ์ราคาของอะไร ก็ตามตัวแปรคุณต้องการรู้ค่าคือ Total $ และ Total Q**

    **หมายเหตุจาก SiamQuant:

    Total $ = Total Spending หรือปริมาณการใช้จ่ายทั้งหมดที่ซื้อสินค้า 

    Total Q = Total Quantity หรีือปริมาณสินค้าทั้งหมดที่ขายได้

    แม้ว่าในแต่ละตลาดนั้นจะมีผู้ซื้อและผู้ขายมากมายโดยผู้ซื้อผู้ขายแต่ละรายนั้นจะมีแรงจูงใจที่แตกต่างกันไป ซึ่งถ้าเราสามารถเข้าใจแรงจูงใจของผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุดได้เราก็สามารถนำไปใช้เพื่อทำความเข้าใจและคาดเดาเศรษฐกิจในตลาดนั้นๆได้ โดยทั้งหมดนี้จะไม่ใช้เรื่องยากหากเราเข้าใจเรื่องของมุมมองแบบ “Transaction Based” โดยสิ่งที่ผมอธิบายมานั้นสามารถนำมาเขียนเป็นรูปและแผนผังได้ดังข้างล่างนี้

    Transaction-based-approach.pngภาพที่ 1 : การพิจารณาจากมุมมองของการซื้อขาย “Transaction Based Approach”

    ภาพที่ 2 : มุมมองของ Supply และ Demand แบบ Transaction Based

    มุมมองในเรื่อง Supply และ Demand แบบ Transcation Based นี้จะแตกต่างจากมุมมองของเศรษฐศาสตร์ดั้งเดิมที่ความสัมพันธ์ระหว่าง Q และ P ถูกอธิบายอยู่ในรูปของ Elasticity**

    **หมายเหตุจาก SiamQuant: 

    ในส่วนนี้ Ray Dalio อ้างอิงถึงสูตรคำนวน Price Elasticity of Demand โดยที่ 

    Q = Quantity (จำนวนสินค้า), P = Price (ราคาสินค้า)

    แต่ด้วยวิธีการตีความแบบ “Transaction Based” ที่แตกต่างนี้เองที่เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผมสามารถทำความเข้าใจตลาดได้ โดยสิ่งสำคัญอีกอย่างที่คุณต้องทราบในการทำความเข้าใจหลักการนี้ก็คือ การใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการ (Spending) นั้นทำได้อยู่ 2 วิธี คือ ด้วยเงินสดและเครดิต ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคุณเดินเข้าไปในร้านค้าคุณสามารถชำระค่าสินค้าได้ 2 วิธี คือด้วยเงินสดหรือใช้เครดิตการ์ด ถ้าคุณใช้เครดิตการ์ดในการชำระสินค้านั่นคือคุณได้สร้างเครดิตขึ้น (ซึ่งก็คือสัญญาที่จะส่งมอบเงินคืนให้ในอนาคต) โดยที่ถ้าคุณจ่ายด้วยเงินสดคุณจะไม่ต้องมีภาระผูกพันธ์ใดๆ

    โดยสรุปแล้วนิยามของเศรษฐกิจคือ ที่ซึ่งมีตลาดของสินค้าประเภทต่างๆ มีผู้ซื้อและผู้ขายหลายๆประเภทที่แต่ละคนสามารถใช้จ่ายเงินด้วยวิธีที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งต่อไปเราจะทำการแยกย่อยเศรษฐกิจออกมาเป็นกลุ่มย่อยและสรุปออกมากันว่า ในเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่เรียกว่าเศรษฐกิจทำงานอย่างไร:

    1. เริ่มต้นจากการเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงในราคาสินค้าของตลาดการเงิน ต่าง เกิดขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงปริมาณของ

    • เงิน และ เครดิตที่ใช้จ่าย
    • ปริมาณที่ขายได้ของสินค้าหรือ กิจกรรมนั้นๆ

    ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการเปลี่ยนแปลงของจำนวนเงินและเครดิตจะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและราคาสินค้าในตลาดการเงินได้มากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของปริมาณสินค้าที่ขายได้นั้นเป็นเพราะว่า

    “เงินและเครดิตคือสิ่งที่เพิ่มหรือลดได้ง่ายที่สุด”

    2. ต่อไปเราจะทำการแบ่งผู้ซื้อเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆคือ:

    • ภาคเอกชน (Private Sector) ประกอบด้วยภาคครัวเรือน (Households) และภาคธุรกิจ (Businesses) ซึ่งอาจเป็นส่วนจากภายในประเทศหรือจากต่างประเทศก็ได้
    • ภาครัฐ (Government Sector) หลักๆประกอบด้วยรัฐบาลกลาง (The Federal Goverment) และธนาคารกลาง (The Central bank) ที่มีเอกลักษณ์คือสามารถพิมพ์เงินและส่วนใหญ่มักนำเงินนั้นไปซื้อสินทรัพย์ทางการเงิน

    การมองวัฐจักรของเศรษฐกิจและตลาดในมุมมองแบบ “Transactions-Based” ที่ได้กล่าวมาข้างต้นแทนที่แบบดั้งเดิมนั้น ช่วยให้ผมสามารถทำความเข้าใจในเหตุผลของสิ่งที่เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจและใช้ในการคาดเดาสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตของวัฐจักรเศรษฐกิจ (Economic Cycle) รวมถึงผลกระทบของมันต่อวัฏจักรของราคาสินทรัพย์ (Price Cycle)

    ระบบตลาดมีการทำงานอย่างไร?

    จากเค้าโครงข้างต้นนั้นเราสามารถสรุปได้ว่าผู้เล่นในระบบเศรษฐกิจทั้งหมดสามารถซื้อและขาย

    1. สินค้าและบริการ
    2. สินทรัพย์ทางการเงิน

    และสามารถชำระราคาได้ด้วย

    1. เงินสด
    2. เครดิต

    ในระบบทุนนิยมตลาดที่เป็น “ตลาดเสรี” นั้นผู้ซื้อ, ผู้ขาย สินค้า,บริการ และสินทรัพย์ทางการเงินต่างทำรายการซื้อ/ขายได้อย่างอิสระเพื่อผลประโยชน์ที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง

    ในการผลิตและการซื้อสินทรัพย์ทางการเงิน (ซึ่งก็คือการปล่อยกู้และการลงทุน) หรือเรียกว่า “Capital Formation” นั้นเกิดขึ้นจากการที่ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายในสินทรัพย์ทางการเงินนี้มีความเชื่อว่า รายการซื้อ/ขาย นั้นๆจะส่งผลดีต่อพวกเขาด้วยการส่งมอบเงินและเครดิตให้แก่ผู้รับแลกเปลี่ยนกับคำสัญญาจากผู้รับว่าจะจ่ายเงินคืนให้มากกว่าเดิม (ตามอัตราผลตอบแทน) เพราะฉะนั้นหากจะให้กระบวนการนี้ทำงานได้ดีจึงจำเป็นต้องมีผู้จัดหาเงินทุน (นักลงทุน , ผู้ให้กู้) ซึ่งจะส่งมอบเงินและเครดิตให้แก่ผู้รับเงินทุน (ผู้กู้ , ผู้ขายตราสารทุน) เพื่อแลกเปลี่ยนกับคำยืนยันที่เชื่อถือได้ของผู้รับเงินทุนว่าจะคืนเงินและเครดิตให้ในมูลค่าที่มากกว่าเดิมจากที่ได้รับมา

    โดยที่ปริมาณเงินทั้งหมดที่มีอยู่ในระบบนั้นถูกควบคุมและจัดการโดยธนาคารกลาง (Central Bank) แต่ปริมาณเครดิตที่มีอยู่นั้นสามารถที่จะสร้างขึ้นได้จากความว่างเปล่ายกตัวอย่างเช่น มีคน 2 คนที่เป็นคู่ค้าตกลงที่จะทำรายการซื้อ/ขายด้วยเครดิตโดยนโยบายของธนาคารกลาง (อัตราดอกเบี้ย) จะมีอิทธิพลอย่างมากในการตัดสินใจของคนเหล่านี้ ซึ่งในกรณีสภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่เครดิตถูกสร้างขึ้นมากเกินไปจนไม่สามารถคืนเงินได้ตามสัญญาและส่งผลให้กลายเป็นภาวะฟองสบู่แตก

    เมื่อเกิดภาวะเงินทุนหดตัวเศรษฐกิจก็จะเกิดภาวะหดตัวด้วยเช่นกัน เพราะว่าไม่มีเงินหรือเครดิตสำหรับการนำมาใช้จ่ายซื้อสินค้า, บริการและสินทรัพย์ทางการเงิน โดยภาวะเศรษฐกิจหดตัวนั้นโดยทั่วไปเกิดขึ้น มาจาก 2 สาเหตุคือ

    1. Recessions (ภาวะหดตัวเนื่องจาก Short-term debt cycle)
    2. Depression (ภาวะหดตัวเนื่องจาก Deleveraging)  

    ภาวะ Recession นั้นคนทั่วไปย่อมรู้จักกันดีอยู่แล้วเพราะมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งและพวกเราส่วนมากก็เคยผ่านประสบการณ์จากมันมาแล้ว แต่ทว่าคนทั่วไปยังมีความเข้าใจที่เกี่ยวกับภาวะ Depression และ Deleveraging ไม่มากนักเนื่องจากมันไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยและผู้ที่เคยผ่านเหตุการณ์นี้มาก็มีแค่เฉพาะคนบางกลุ่มเท่านั้น

    A Short-term Cycle : (หรือเรียกอีกอย่างว่า Business Cycle) เกิดขึ้นจาก

    1. อัตราการเติบโตของการใช้จ่ายมากกว่าอัตราการเติบโตของความสามารถในการผลิต
    2. อัตราการเติบโตของการใช้จ่ายถูกลดหรือจำกัดด้วยมาตรการควบคุมเงินและเครดิต (คาดเข็มขัด)

    Recession คือ ภาวะการหดตัวของเศรษฐกิจซึ่งเป็นผลเนื่องมาจากการเติบโตของเครดิตในภาคเอกชน  (Private Sector) หดตัวลงเนื่องมาจากนโยบายการเงินแบบหดตัว (Tightening Policy) ของธนาคารกลางซึ่งส่วนใหญ่ใช้เพื่อต่อสู้กับสภาวะเงินเฟ้อ นโยบายการเงินแบบหดตัวจะยกเลิกเมื่อธนาคารกลางกลับมาใช้นโยบายการเงินแบบขยายตัว (Easing) อีกครั้งโดยภาวะ Recession นั้นจะสิ้นสุดลงเมื่อธนาคารกลางทำการลดดอกเบี้ยลงโดยมีจุดประสงค์ในการกระตุ้นความต้องการบริโภคสินค้า, บริการ และเครดิตเพราะว่าดอกเบี้ยที่ต่ำลงจะทำให้

    1. ต้นทุนจากภาระหนี้สินลดลง
    2. ค่าใช้จ่ายรายเดือนจากการซื้อเงินของด้วยเครดิตถูกลง ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดความต้องการในการบริโภคสินค้า
    3. ราคาของสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้จากตัวสินทรัพย์เองเช่น หุ้น, ตราสารหนี้, อสังหาริมทรัพย์มีราคาสูงขึ้นและยังส่งผลให้เกิด Wealth effect จากการซื้อสินทรัพย์ (การที่ดอกเบี้ยซึ่งเป็นตัว คิดลด ของสมการ Net Present Value ลดลงและทำให้คำนวน Net Present Value ได้ค่ามากขึ้น)

    A Long-term debt cycle: เกิดขึ้นมาจากหนี้ที่เพิ่มขึ้นเร็วกว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้และเงินในระบบจนถึงจุดที่หนี้ไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้อีกต่อไป โดยสาเหตุมาจากต้นทุนจากภาระหนี้สิน (Debt Service Cost) ที่อยู่ในระดับที่สูงเกินไปและอัตราดอกเบี้ยที่ไม่สามารถลดลงได้อีก (เพราะดอกเบี้ยมีค่าใกล้ 0%)

    Deleveraging คือ กระบวนการของการลดภาระหนี้สินในระบบ โดยกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการ Deleveraging จะประกอบด้วย

    1. การลดหนี้
    2. ความเข้มงวดทางการเงิน
    3. การกระจายความมั่งคั่ง
    4. การพิมพ์เงินเพื่อชำระหนี้ (Debt Monetization)

    Depression คือ ภาวะหดตัวของเศรษฐกิจในช่วงที่เกิดการ Deleveraging เพราะว่าถึงแม้ธนาคารกลางจะทำการลดดอกเบี้ยแต่ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาการหดตัวของหนี้ภาคเอกชน (Private Sector) ได้โดยจุดสังเกตว่าเศรษฐกิจอยู่ในภาวะ Depression คือ

    1. ลูกหนี้จำนวนมากมีภาระผูกพันธ์ที่จะต้องส่งมอบเงินที่กู้ยืมมาในปริมาณที่มากกว่าเงินที่มี
    2. นโยบายการเงินของธนาคารกลางกลายเป็นสิ่งไร้ประสิทธิภาพ

    โดยกรณีที่พบได้โดยทั่วไปคือ นโยบายการเงินนั้นไร้ประสิทธิภาพในการกระตุ้นการเติบโตของเครดิต เนื่องมาจากอัตราดอกเบี้ยที่ไม่สามารถลดลงได้อีกต่อไป (อัตราดอกเบี้ยมีค่าเกือบเท่ากับ 0% อยู่แล้ว) ซึ่งทำให้ดอกเบี้ยไม่สามารถไปถึงจุดที่จะสนับสนุนให้เกิดการใช้จ่ายในเศรษฐกิจและ Capital formation ได้ ภาวะนี้เราเรียกว่า Deflationary Deleveraging

    ในอีกกรณีคือเป็นเพราะว่าเม็ดเงินที่มีการอัดฉีดเข้าไปในระบบ นั้นถูกนำไปซื้อสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Hedge Asset) แทนที่จะไปทำให้เกิดการเติบโตของเครดิตซึ่งในกรณีนี้จะก่อให้เกิดภาวะที่เรียกว่า Inflationary Deleveraging.

    ภาวะ Depression นั้นจะสิ้นสุดได้ด้วยการที่ธนาคารกลางทำการพิมพ์เงินเพื่อสร้างหนี้ที่สร้างรายได้ (Monetized Debt) เพื่อนำเงินที่ได้ไปชำระหนี้ในปริมาณที่จะสามารถชดเชยผลกระทบจาก Deflationary Depression ที่เกิดจากกระบวนการการลดหนี้และการรัดเข็มขัดทางการเงินโดยขั้นตอนการ Deleveraging นั้นสามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องเกิดภาวะ Depression หากว่ามีการบริหารจัดการที่ดี

    ความแตกต่างของในการดำเนินงานของภาครัฐในเวลาที่เกิดภาวะ Recession และ Depression เป็นเบาะแสที่ดีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น ตัวอย่างเช่น ในภาวะ Deleveraging นั้นธนาคารกลางจะพิมพ์เงิน จำนวนมหาศาลเพื่อนำมาใช้ซื้อสินทรัพย์ทางการเงินเพื่อชดเชยการลดลงของเครดิตในภาคเอกชน ซึ่งจะเราไม่เคยได้ยินการใช้วิธีการนี้เลยในกรณีที่เกิดภาวะ Recession ดังนั้นจะเห็นได้ว่าในภาวะ Deleveraging นั้น รัฐบาลกลางจะมีการใช้จ่ายจำนวนมาก เพื่อที่จะพยายามชดเชยผลกระทบจากการใช้จ่ายที่ต่ำลงของภาคเอกชน แต่อย่าพึ่งรีบสรุปตอนนี้เรายังพึ่งพูดถึงแค่ภาวะหดตัว 2 ชนิด ซึ่งมันเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของวัฏจักร 2 แบบที่เราจะมาคุยกันในช่วงต่อไป

    แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ “The Three Big Forces”

    ผมเชื่อว่าแรงขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่นั้นมีแรงขับเคลื่อนหลักอยู่ 3 อย่าง คือ

    1. Trend line Productivity Growth
    2. The Long-term debt cycle
    3. The Short-term debt cycle

    ผมสามารถการอธิบายแรงขับเคลื่อนทั้ง 3 อย่างนี้อย่างง่ายๆโดยการนำ The short-term debt cycle (Business cycle) ไปวาดซ้อนบน The long-term debt cycle และจากนั้น นำไปวาดซ้อนทับบน Trend line Productivity Growth

    SiamQuant-The-Three-Big-Force.pngภาพที่ 3 : ภาพความสัมพันธ์ของแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้ง 3  “The Three Big Forces”

    สิ่งที่เราได้มาคือรูปแบบ (Template) ที่ดีสำหรับใช้ในการอธิบายการเคลื่อนไหวส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นของระบบเศรษฐกิจ/ตลาด (ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับเศรษฐกิจของทุกประเทศ) โดยตัวอย่างในบทความนี้เราจะมาดูกันที่เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาภายใน 100 ปีที่ผ่านมา

    Productivity Growth

    ดังที่ได้แสดงในภาพในส่วน Chart ที่ 1 ด้านล่าง Real GDP per capita ได้เพิ่มขึ้นในอัตราเฉลี่ยที่น้อยกว่า 2% ตลอด 100 ปีที่ผ่านมาโดยไม่ได้มีความเบื่ยงเบนไปจากค่าเฉลี่ยนี้มากเท่าไหร่ (สำหรับคำอธิบายว่าค่านี้ มีค่าต่างกันในแต่ละประเทศและในแต่ละช่วงเวลาอย่างไรนั้น ให้ลองไปศึกษา “Why Countries Succeed and Fail Economically” ประกอบ) ซึ่งเป็นเพราะว่าตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น มนุษย์มีวิทยาการความรู้ที่ดีขึ้นซึ่งส่งผลให้การใช้ทรัพยากรมีประสิทธิภาพสูงขึ้นและทำให้มีคุณภาพชีวิตและการเป็นอยู่ดีขึ้น

    ดังที่กราฟได้แสดงไว้ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นมีความแปรปรวนค่อนข้างน้อยจากเส้นแนวโน้ม แม้แต่ตอนเกิด the Great Depression ในปี 1930s ก็ยังมีความแปรปรวนค่อนข้างน้อย ซึ่งทำให้เราค่อนข้างมั่นใจได้ว่าไม่ว่าเวลาใดก็ตามเศรษฐกิจจะสามารถกลับเข้าสู่ค่าแนวโน้มที่เป็นปกติได้

    แต่อย่างไรก็ตามหากดูให้ละเอียดเข้าไปในแต่ละทศวรรษจะเห็นได้ว่าความผันผวนจากเส้นแนวโน้มนั้นสูงมากเช่น ขณะเกิด Depression นั้นมีความลึกของค่า Peak-to-Trough ประมาณ 20% ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ (Real GDP), การสูญเสียมูลค่าของความมั่งคั่งทางการเงินมากกว่า 50% และราคาของตราสารทุนที่ร่วงต่ำลงกว่า 80% โดยการสูญเสียมูลค่าความมั่งคั่งสำหรับผู้ที่ถือสินทรัพย์ทางการเงินตั้งแต่ตอนเริ่มต้นการเกิด Depression นั้นอาจสูงกว่าตัวเลขเหล่านี้

    ภาพที่ 4 : Real GDP per Capita ของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ 1900 ถึง 2010


    การแกว่งไปมาระหว่างเส้นแนวโน้มส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของวิทยาการความรู้ของมนุษย์ ยกตัวอย่างเช่น ช่วง Great Depression ในปี ค.ศ. 1929-1939 นั้นไม่ได้เกิดจากการที่ประชากรลืมวิธีการผลิตที่มีประสิทธิภาพและก็ไม่ได้เกิดขึ้นมากจากสงครามหรือภัยแล้ง โดยส่วนประกอบทั้งหมดที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโตนั้นอยู่ตรงนั้นมาตลอดแต่เศรษฐกิจกลับซบเซาอย่างมากคำถามคือ ทำไมโรงงานที่มีเครื่องจักรไม่มีการผลิต, ไม่จ้างพนักงานที่ว่างงานและใช้ทรัพยากรเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์เพื่อให้เกิดการขยายตัวของเศรษฐกิจขึ้นหละ ? วัฏจักรเศรษฐกิจนี้ไม่ได้เป็นผลเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา (เช่นภัยธรรมชาติ) แต่มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นเนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์และวิธีที่กลไกของระบบเครดิตทำงานต่างหาก

    การแกว่งตัวของค่ารอบๆเส้นแนวโน้มเป็นผลเนื่องมาจากการขยายตัวและหดตัวของเครดิตหรือเรียกอีกอย่างคือ วัฏจักรหนี้ (เครดิต) ที่มีอยู่ 2 แบบคือ

    1. Long-term debt cycle (50-70 ปี) (Long wave cycle)
    2. Shorter-term debt cycle (5-8ปี) (Business/market cycle)

    วัฏจักรหนี้และเกมเศรษฐี

     

    ผมมักพบว่าไม่ว่าที่ไหนเมื่อผมได้เริ่มอธิบายเรื่องวัฏจักรหนี้โดยเฉพาะวัฏจักรหนี้ระยะยาว พวกคุณจะขมวดคิ้วและตอบสนองเหมือนกับว่าเรากำลังคุยเรื่องโหราศาสตร์ ด้วยเหตุนี้ก่อนที่ผมจะเริ่มการอธิบายเกี่ยวกับ Debt cycle ทั้ง 2 รูปแบบนี้ เราควรจะมีการอธิบายเบื้องต้นนิดหน่อยเกี่ยวกับ “วัฏจักร”

    วัฏจักรนั้นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าลำดับตรรกะของเหตุการณ์ที่จะนำไปสู่รูปแบบของการเกิดซ้ำ (A logical sequence of event leading to a repetitious pattern) ในระบบทุนนิยมนั้นวัฏจักรการขยายตัวของเครดิต และการหดตัวของเครดิตเป็นตรรกะที่ขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจเกิดวัฏจักรขึ้น ทว่าแต่ละลำดับขั้นของเหตุการณ์นั้นไม่ได้ถูกกำหนดไว้อย่างแน่ชัดว่าจะเกิดขึ้นซ้ำด้วยกระบวนการเดิมหรือใช้ระยะเวลาเท่าเดิมถึงแม้ว่ารูปแบบจะเหมือนกันก็ตาม

    ถ้าคุณเข้าใจการเล่นเกมเศรษฐี (Monopoly) คุณจะสามารถเข้าใจเรื่องของเครดิตและวัฏจักรเศรษฐกิจได้ดี โดยในช่วงต้นของเกมเศรษฐีนั้น ผู้เล่นทุกคนจะมีเงินสดมากและมีโรงแรมน้อย ทุกคนมีจุดประสงค์ที่จะใช้จ่ายเงินสดเพื่อซื้อโรงแรมโดยใครที่มีโรงแรมมากก็จะสร้างรายได้ (เงินสด) ได้มาก เราจะสังเกตุได้ว่าผู้เล่นมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนเงินสดที่ถืออยู่ไปเป็นสินทรัพย์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อที่จะหารายได้จากการจ่ายเงินของผู้เล่นคนอื่นที่มาตกในช่องที่มีโรงแรมของตน

    เมื่อเกมส์ดำเนินไปถึงช่วงท้ายโรงแรมจะมีอยู่เกือบทุกช่อง ซึ่งตามมาด้วยความต้องการเงินสดของผู้เล่นที่มากขึ้นเพราะในจุดนี้ผู้เล่นหลายๆคนใช้เงินสดที่มีไปซื้อโรงแรมจนหมดแล้วและพวกเขาต้องการเงินสดเพื่อที่จะจ่ายค่าห้องเวลาเดินไปตกช่องที่มีโรงแรมของคนอื่น ในที่สุดพวกเขาก็จะถูกบังคับให้ขายโรงแรมของเขาในราคาที่ถูกคิดลด (Discount Price)

    เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าในเกมเศรษฐีนั้นช่วงต้นของเกมส์  “Property is king” แต่ช่วงท้ายของเกมนั้นกลับเป็น “Cash is king” โดยคนที่เล่นเกมนี้ได้เก่งที่สุดคือคนที่เข้าใจว่าควรจะถือ Property และ Cash ในสัดส่วนเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสมที่สุดสำหรับช่วงเวลาต่างๆของเกม

    ภาพที่ 5 : เกมเศรษฐี

    มาถึงตรงนี้ให้คุณลองจินตนาการเพิ่มเติมว่าเกมส์เศรษฐีจะเป็นอย่างไรหากเราเปลี่ยนแปลงกติกาให้แบงค์ สามารถปล่อยกู้เงินและรับฝากเงินได้ โดยผู้เล่นจะสามารถยืมเงินเพื่อมาซื้อโรงแรมได้และแทนที่จะถือ เงินสดไว้เฉยๆ ผู้เล่นสามารถนำเงินไปฝากเพื่อรับผลตอบแทนจากดอกเบี้ย ซึ่งจะทำให้แบงค์มีเงินสำหรับ ปล่อยกู้มากขึ้น จากนั้นให้ลองจินตนาการว่าผู้เล่นสามารถทำการซื้อ/ขายสินทรัพย์จากผู้เล่นคนอื่น โดยการให้เครดิตแทนเงินสดได้ โดยถ้าหากเกมเศรษฐีมีกติกาการเล่นเช่นนี้ มันจะกลายเป็นแบบจำลองการทำงานของระบบเศรษฐกิจที่เกือบจะสมบูรณ์แบบ

    ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นแล้วผู้เล่นจะสามารถซื้อโรงแรมในปริมาณที่มากขึ้น (จากการกู้เงินมาซื้อ) และนั่นทำให้ปริมาณการกู้ยืม (Credit) เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนเป็นหลายเท่าของปริมาณเงินที่มีอยู่ (Money Supply) เงินที่ต้องจ่ายเมื่อเดินไปตกที่โรงแรมของคนอื่นจะเพิ่มสูงขึ้นและเงินสดสำหรับลูกหนี้ผู้ที่ครอบครองโรงแรมก็จะไม่เพียงพอเมื่อเกมดำเนินไปเรื่อยๆ

    ธนาคารและคนที่นำเงินไปฝากไว้กับธนาคารจะต้องเจอกับปัญหาเมื่อลูกหนี้ของธนาคารไม่มีเงินสดที่จะมามอบคืนให้แก่ธนาคาร  ส่งผลให้ผู้เล่นคนอื่นๆที่ต้องการใช้เงินสดเช่นกันไม่สามารถที่จะถอนเงินสดที่ฝากธนาคารออกมาได้ นี้คือพื้นฐานการทำงานของเศรษฐกิจและวัฏจักรเครดิต

    เงินและเครดิตในกลไกของตลาด

    ความเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจนั้นจะเกิดขึ้นได้เมื่อเศรษฐกิจดำเนินงานที่ศักยภาพสูงสุดหรือพูดอีกแบบคือ จุดที่อุปสงค์ (Demand) เพิ่มขึ้นใกล้เคียงจุดสูงสุดของศักยภาพการผลิต ซึ่งในจุดนั้นธุรกิจต่างๆจะมีกำไรดีและอัตราการว่างงานต่ำ ยิ่งเศรษฐกิจอยู่ในสถานะนี้เป็นเวลานานขีดความสามารถในการผลิต (Supply) จะยิ่งเพิ่มขึ้นโดยการกู้ยืมมาลงทุนเพิ่ม

    การลดลงของอุปสงค์นั้นทำให้เกิดสถานะที่ทำให้การใช้ประโยชน์จากศักยภาพการผลิตต่ำลง ส่งผลให้ธุรกิจมีกำไรลดลงและอัตราการว่างงานที่เพิ่มมากขึ้น หากเศรษฐกิจอยู่ในสถานะนี้นานต่อไปเรื่อยๆ การลดต้นทุน (Restructuring) จะต้องเกิดขึ้นซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการถูกลดมูลค่า (Write Down) ของหนี้สิน (Debt) และส่วนทุน (Equity)  

    ดังนั้นแล้วนิยามความเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจนั้นคือ การที่มีอุปสงค์ (Demand) ที่สูงในระบบเศรษฐกิจที่มีเครดิตเป็นพื้นฐาน (การจับจ่ายส่วนมากอยู่ในรูปเครดิต) โดยความแข็งแกร่งของอุปสงค์นี้จะส่งผลต่อการเติบโตที่แข็งแรงของเครดิต

    ในทางตรงกันข้าม Deleveraging คือการมีอุปสงค์ที่ลดลงและด้วยเหตุนี้จึงทำให้การเติบโตของเครดิตลดน้อยลงเช่นกัน ซึ่งสรุปได้ตรงข้ามกับวิธีคิดที่นิยมกันคือ

    “Recession และ Depression นั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาจากปัญหาด้าน Productivity แต่มันก่อตัวขึ้นมาจากการถดถอยของอุปสงค์ที่ทำให้การเติบโตของเครดิตตกต่ำลงต่างหาก”

    แต่แล้วทำไมเมื่อเศรษฐกิจเริ่มอาการไม่ดีจากการใช้ขีดความสามารถในการผลิตต่ำซึ่งกดให้ธุรกิจมีกำไรต่ำและอัตราการว่างงานสูง ทำไมรัฐบาลไม่ทำอะไรซักอย่างเพื่อให้เกิดการกระตุ้นอุปสงค์หล่ะ ? ในส่วนต่อไปเราจะมาคุยกันว่าเครื่องมืออะไรบ้างที่ภาครัฐจะสามารถใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ตกต่ำได้

    1. Money

    เงินคือสิ่งที่คุณไว้ใช้ชำระหนี้ที่เกิดจากการซื้อสิ่งของบางอย่าง โดยหลายๆคนเข้าใจผิดสับสนว่าเงินคืออะไรก็ได้ที่ใช้ซื้อสินค้าและบริการ (รวมถึงบัตรเครดิตหรือบัญชีที่คุณติดไว้กับเจ้าของร้านขายของชำ) เมื่อห้างสรรพสินค้าให้สินค้าคุณมาหลังจากคุณเซ็นลายเซ็นตอนรูดบัตรเครดิต เราถือว่าลายเซ็นนั่นคือเงินหรือ? คำตอบคือไม่เพราะคุณยังไม่ได้ทำการชำระหนี้ที่เกิดขึ้นจากการซื้อขายนั้น คุณแค่ “สัญญา” ว่าจะชำระเงินทีหลังและนี่คือการสร้างเครดิต (Credit)

    ธนาคารกลางสหรัฐ (The Federal Reserve) ได้เลือกที่จะนิยาม “Money” แบบสรุปรวม (นำเงินตรามารวมกับเครดิตรูปแบบต่างๆ  – M1,M2,etc.)  แต่นั้นทำให้เกิดการเข้าใจผิดขึ้นโดยเสมือนกับว่าทุกครั้งที่เค้าใช้คำว่า “Money” นั้นคือเค้าพูดถึง “Credit” (ซึ่งก็คือสัญญาที่จะชำระเงิน) แทนที่จะหมายถึงเงินจริงๆ โดยปริมาณหนี้ในสหรัฐอเมริกานั้นมีประมาณ $50 Trillion และปริมาณเงินที่มีนั้นประมาณ $3 Trillion ดังนั้นจากตัวเลขข้างต้นนี้ปริมาณหนี้ (ปริมาณเงินที่สัญญาว่าจะส่งมอบ) จะมีค่ามากกว่าปริมาณเงินประมาณ 15 เท่า (ปริมาณเงินที่ได้ส่งมอบจริงๆ) จุดสำคัญของเรื่องนี้ก็คือคนส่วนมากซื้อของด้วยเครดิตและไม่ได้ใส่ใจมากนักว่าจะต้องส่งมอบเงินคืนเมื่อไหร่และจะนำเงินจากไหนมาส่งมอบ จึงทำให้ภายในระบบเศรษฐกิจนั้นมีจำนวนของ “เงิน” น้อยกว่า “ภาระผูกพันธ์ที่จะส่งมอบเงินคืน” นั่นเอง

    1. Credit

    อย่างที่กล่าวไปในข้างต้นเครดิต คือ “สัญญาที่จะชำระเงินในอนาคต” โดยเครดิตนั้นสามารถใช้จ่ายได้เหมือนเงินสดซึ่งเมื่อคุณชำระสินค้าด้วยเงินสดไปแล้วการซื้อขายถือว่าสมบูรณ์ แต่ถ้าคุณจ่ายด้วยเครดิตนั้นการชำระเงินนั้นถือว่ายังไม่เกิดขึ้น

    การที่ภาครัฐจะเพิ่มอุปสงค์ (Demand) นั้นสามารถทำได้อยู่ 2 วิธีคือ เพิ่มโดยใช้เครดิตหรือไม่ใช้เครดิตโดยแน่นอนว่าการมีเครดิตนั้นช่วยกระตุ้น Demand ได้ง่ายกว่าเพราะในระบบเศรษฐกิจที่ไม่มีเครดิตนั้นคือการเอาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าใกล้เคียงกันมาแลกเปลี่ยนกัน โดยวิธีเดียวที่จะเพิ่มอุปสงค์ (Demand) และอำนาจซื้อได้ก็คือต้องเพิ่มปริมาณการผลิตเท่านั้น โดยจริงๆแล้ววิธีนี้ทำให้ลดการเกิดวงจรของวิกฤตเศรษฐกิจได้ (Boom Bust Cycle) แต่ก็ทำให้ระบบเศรษฐกิจไม่สามารถที่จะเจริญเติบโตเฟื่องฟูได้เต็มศักยภาพเช่นกัน

    Economy-without-credit.png

    ภาพที่ 6 : ระบบเศษฐกิจที่ไม่มีการใช้เครดิต.

    ในทางตรงกันข้ามเศรษฐกิจที่มีการใช้เครดิตจะช่วยเพิ่ม GDP และรายได้ของคุณ (เนื่องจากบางกิจกรรมคุณใช้ เครดิตชำระแทนเงินสด) การใช้เครดิตของคุณนั้นจะทำให้จำนวนธุรกิจมีเพิ่มมากขึ้น พอคุณไปธนาคาร ธนาคารจะเห็นว่าคุณมีรายได้และเงินสะสมมากขึ้นซึ่งธนาคารก็ยินดีที่จะให้คุณกู้เงิน (เพื่อเพิ่มยอดขายและรายได้ของธนาคาร) หรือคุณอาจจะตัดสินใจที่จะนำเงินไปซื้อสินทรัพย์ทางการเงินจนกว่าคุณอยากจะนำเงินออกมาใช้

    ซึ่งคุณจะสังเกตุเห็นได้ว่า หนี้ , การจับจ่าย และการลงทุนนั้นจะมีปริมาณที่มากขึ้นสัมพันธ์กับ เงินและรายได้โดยกระบวนการนี้เราเรียกว่า “Self-Reinforcing” เพราะการจับจ่ายมากขึ้นก่อให้เกิดรายได้มากขึ้น ก่อให้เกิดรายได้สุทธิมากขึ้นและตามด้วยการเพิ่มขึ้นของความสามารถในการกู้ยืมซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มอำนาจการซื้อจับจ่ายเป็นวงจรแบบนี้ไปทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจ (Spending)

    SiamQuant-Economy-with-credit.png

    ภาพที่ 7 : ระบบเศรษฐกิจที่มีการใช้เครดิต

    ประเภทของระบบการเงิน

    อำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งที่ภาครัฐมีคือความสามารถในการสร้างเงินและเครดิต ซึ่งคือการกำหนดนโยบายการเงินของประเทศโดยเปรียบเสมือนการควบคุมคันโยกที่ทำหน้าที่เพิ่มและลดปริมาณเงินและเครดิตในระบบการเงินที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ไปตามกาลเวลาและสถานการณ์ของประเทศนั้นๆ

    ในอดีตนั้นเราใช้การแลกเปลี่ยน (หรือการ Barter) ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนสิ่งของที่มีมูลค่าที่แท้จริงที่ใกล้เคียงหรือเทียบเท่ากันก่อนที่จะพัฒนามาใช้ค่าเงิน และเมื่อเครดิตถูกพัฒนาขึ้นมาโดยเป็นสัญญาที่ว่าจะส่งมอบเงินให้ในอนาคต

    ผู้ให้ยืม (Lender) คาดหวังว่าจะได้รับเงินมากกว่าจำนวนเงินที่ได้ให้ยืมไปตอนแรก โดยตั้งแต่มีการเริ่มต้นใช้เครดิตผู้ให้ยืมก็เกิดคำถามต่อภาครัฐผู้ควบคุมระบบการเงินขึ้นมาว่า “แล้วใครเป็นผู้ควบคุมระบบการเงิน เรารู้ได้อย่างไรว่า คุณจะไม่พิมพ์เงินมากจนเกินไปจนทำให้มูลค่าของสินค้าและบริการนั้นแพงมากขึ้นในอนาคต ?” โดยในทุกยุคสมัยคำถามนี้ได้รับคำตอบที่ไม่เหมือนกันเพราะว่า

    พื้นฐานระบบของการพิมพ์เงินถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท

    1. Commodity-ฺฺBased System ระบบที่ประกอบด้วย Commodity, Currency และ Credit  

    ในระบบแรกนั้นการขยายสินเชื่อจะทำได้ยากกว่าเพราะว่าหากรัฐบาลพยายามเพิ่มจำนวนเงินและเครดิต ในระบบการเงินมันจะถูกชดเชยโดยประชาชนจะนำ Commodity (ส่วนมากคือทองคำ) ไปทำการแลกคืนกับ รัฐบาล

    เมื่ออุปทาน (Supply) ของเงินมีเพิ่มขึ้นมูลค่าของเงินก็จะลดลงและเราจะเห็นได้ว่ามูลค่าของ Commodity (ทองคำ) จะเพิ่มสูงขึ้นและเมื่อถึงจุดที่ทองคำมีราคาสูงกว่าราคาซื้อขายที่กำหนดไว้ ผู้ที่ถือครองสินเชื่อ (สัญญาที่จะได้รับเงิน) จะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ โดยแลกหนี้กับสินทรัพย์ที่มีตัวตนจาก รัฐบาลที่ราคาต่ำกว่าราคาตลาดการขายหนี้สินและการนำเงินออกจากระบบ (โดยแลกเป็นทองคำ)

    นั้นทำให้การไหลเวียนของกระแสเงินถูกลดทอนและเป็นเหตุให้การปล่อยสินเชื่อมีความรัดกุมมากขึ้น ส่งผลให้มูลค่าของเงินเพิ่มสูงขึ้น ในทางกลับกันทำให้ราคาของสินค้าและบริการลดต่ำลง ซึ่งเป็นผลให้เกิดภาวะเงินฝืด (Deflation) และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ลดลงตามไปด้วยเนื่องจากตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นมูลค่าของเงินลดลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับมูลค่าสิ่งของแทบจะทุกอย่าง เรามาลองผูกค่าเงินไว้กับสิ่งของซักอย่าง เพื่อแสดงให้ดูว่าระบบการเงินแบบ Commodity-based System ทำงานอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น

    ในตอนแรกนั้นขนมปัง 1 ปอนด์ มีต้นทุน 10 เซนต์ ในปี ค.ศ. 1946 ให้ลองจินตนาการว่าเราทำการผูกค่าเงินดอลล่าร์ไว้กับขนมปังจากนั้นให้ลองจินตาการถึงระบบการเงินของรัฐบาลในปี ค.ศ. 1946 ที่ประกาศรับซื้อขนมปัง ในราคาปอนด์ละ 10 เซนต์และทำแบบนั้นมาจนถึงปัจจุบัน โดยปัจจุบันนี้ขนมปังต้นทุนปอนด์ละ 2.75$ และแน่นอนว่าถ้าระบบการเงินเป็นเช่นนี้ราคาขนมปังคงไม่สามารถขึ้นมาได้ถึงปอนด์ละ 2.75$ เพราะพวกเราทุกคนจะไปซื้อขนมปังกับรัฐบาลที่มีราคาปอนด์ละ 0.10$ แทนที่จะไปซื้อในตลาดเสรีจนกระทั้งรัฐบาลไม่มีขนมปังขาย

    แต่ในตัวอย่างของเราลองคิดดูว่าถ้าขนมปังมีราคาตลาดที่ปอนด์ละ 2.75$ เราคงอยากจะใช้เงินทั้งหมดที่มีไปซื้อขนมปังจากรัฐบาลที่ราคาปอนด์ละ 0.10$ แล้วเอาไปขายในตลาดเสรีที่ราคาปอนด์ละ 2.75$ และคนอื่นๆก็คงทำเหมือนกันโดยการกระทำเช่นนี้ จะทำให้เงินที่ไหลเวียนในระบบลดลงและทำให้ราคาสินค้าและบริการลดลงตามไปด้วย ปริมาณของขนมปังในตลาดก็จะเพิ่มมากขึ้น (ซึ่งทำให้ราคาลดลงเร็วกว่าสินค้าชนิดด้วย ) ข้อเท็จจริงคือ หากการแปลงสภาพเป็นเงินตราไม่ได้มีอิทธิพลมากกับอุปทานและอุปสงค์ของขนมปัง

    “วิธีผูกค่าเงินแบบนี้จะทำให้การเติบโตของสกุลเงินและเครดิตช้าลงไปถึง 50 ปี”

    ในเชิงอุดมคติหากเรามีระบบที่เป็นระบบ Commodity-Based Currency System เราจะอยากให้ระบบผูกค่าเงินกับสิ่งของที่การแกว่งของอุปทาน (Supply) หรืออุปสงค์ (Demand) ค่อนข้างจำกัดยกตัวอย่างเช่นถ้าเงินตราผูกค่าไว้ที่ขนมปังจะทำให้ผู้ผลิตขนมปังมีอำนาจในการผลิตเงินและนำไปสู่ภาวะ เงินเฟ้อที่สูงขึ้น ทองคำและเงิน (Sliver) ได้รับการพิสูจณ์จากประวัติศาสตร์แล้วว่ามีเสถียรภาพมากที่สุดในการใช้เป็นสินทรัพย์หนุนค่าเงินแต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันสมบูรณ์แบบ

    1. Fiat System ระบบที่ประกอบด้วย Currency และ Credit

    ระบบการเงินแบบ Fiat system เป็นอีกระบบซึ่งปริมาณเงินนั้นไม่ได้มีการจำกัดว่างินต้องสามารถแลก เปลี่ยนไปเป็น Commodity ได้ โดยธนาคารกลางกับความเต็มใจในการสร้างเครดิตของผู้กู้และผู้ให้กู้นั้นมี บทบาทและอิทธิพลต่อการเติบโตของเงินและเครดิตเป็นหลัก

    โดยปกติแล้วรัฐบาลจะชอบระบบ Fiat System เพราะทำให้รัฐบาลมีอำนาจในการพิมพ์เงินขยายเครดิตและ กระจายความมั่งคั่งได้ แต่โดยธรรมชาติของมนุษย์นั้นรัฐบาลมีแนวโน้มให้ความสำคัญกับความสุขสบายแบบระยะสั้นที่เห็นผลได้ทันตามากกว่าผลประโยชน์ในระยะยาว โดยนโยบายของรัฐบาลนั้นมีแนวโน้มจะเป็นนโยบายเพื่อเพิ่มอุปสงค์ (Demand) โดยการยอมให้สร้างเครดิตได้อย่างอย่างเสรีซึ่งเป็นสิ่งที่นำเราไปสู่วิกฤตหนี้เสมอ

    โดยปกติรัฐบาลจะเลือกที่จะกลับมาใช้ระบบ Commodity-based system เฉพาะเมื่อพวกเขาถูกบังคับให้ตอบสนองต่อมูลค่าของเงินที่เสื่อมค่าอย่างรุนแรง (Currency Depreciation) จากการพิมพ์เงินจำนวนมหาศาลในการบรรเทาภาระหนี้สินที่มากเกินไป และพวกเขาก็จะทิ้งระบบ Commodity-based system เมื่อสิ่งที่เป็นข้อจำกัดในการพิมพ์เงินนั้นกลับกลายเป็นภาระที่มากเกินไปสำหรับธนาคารกลาง

    ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานั้นรัฐบาลได้สลับระบบการเงินไปมาระหว่าง Commodity based system และ Fiat system เพื่อแก้ไขวิกฤตหนี้สินและตอบสนองต่อผลลัพธ์ที่ไม่พึงปราถณาของแต่ละระบบ อย่างไรก็ตาม พวกเขาจะไม่สลับระบบบ่อยครั้งเพราะโดยทั่วไปแล้วระบบการเงินสามารถทำงานได้เป็นอย่างดีเป็นเวลาหลายทศวรรษ ด้วยเพียงการปรับเปลี่ยนดอกเบี้ยโดยธนาคารกลางและการควบคุมปริมาณเงินเพื่อควบคุมการเติบโตของเครดิตที่เพียงพอ ดังนั้นแล้วจุดที่เกิดการเปลี่ยนระบบ (Infection point) จะไม่เกิดขึ้นบ่อย

    The Long-Term Debt Cycle

    จากที่เราได้พูดกันไปก่อนหน้านี้แล้วว่า เมื่อไหร่ที่กระบวนการของการจับจ่าย, หนี้ และการลงทุนขยายตัวมากกว่าเงินและรายได้ เราเรียกว่า “Self-Reinforing on the Upside” โดยสามารถอธิบายได้ตามรูปนี้:

    1. การเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายของภาคเอกชนส่งผลให้รายได้และมูลค่าของธุรกิจเพิ่มขึ้น
    2. ส่งผลให้เจ้าของธุรกิจนั้นสามารถที่จะกู้ได้มากขึ้น
    3. ซึ่งกลับไปเป็นความสามารถที่ธุรกิจนั้นจะใช้จ่ายได้มากขึ้น

    และการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจนี้จะเพิ่มรายได้และมูลค่าให้กับธุรกิจอื่นในระบบเศรษฐกิจต่อไป

    SiamQuant-Self-Reinforcing.png

    ภาพที่ 8 : กระบวนการ Self Reinforcing

    อย่างไรก็ตาม หนี้ไม่สามารถที่จะขยายตัวได้เร็วกว่ารายได้ตลอดไป เปรียบเสมือนอากาศในถังดำน้ำที่มีอยู่ อย่างจำกัด โดยเราสามารถจะทำการเร่ง (Boost) มันได้เป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็จะส่งผลให้อากาศในถังหมดเร็วขึ้นด้วยเช่นกัน และเมื่อหนี้สินถูกเพิ่มขึ้นจนไม่สามารถเพิ่มได้แล้วเนื่องจากรายได้โตตามไม่ทัน ก็จะถึงเวลาที่ต้องชำระหนี้สิน โดยกระบวนการชำระหนี้ก็คือ กระบวนการ Self-Reinforcing แบบถอยหลังกลับ (Reverse) หรือการ Deleveraging นั่นเอง

    วัฏจักรเหล่านี้เองที่สร้างวงจรของ Long Term Debt Cycle ขึ้น โดยวัฏจักรนี้มีมาในโลกตั้งแต่เริ่มมีการใช้เครดิตในการซื้อขาย แม้ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม (Old Testament) ยังมีเขียนไว้ว่าต้องมีการชำระล้างหนี้ทุกๆ 50 ปี หรือที่เรียกกันว่า Year of Jubilee

    การแกว่งขึ้น (Up Swing) ของวงจรหนี้ระยะยาวแบบ Self-Reinforcing เกิดขึ้นอย่างที่ได้อธิบายในข้างต้นเป็นเพราะว่าผู้ให้กู้ (Lender) กำหนดจำนวนเงินที่สามารถให้กู้ได้โดยดูพื้นฐานหรือก็คือความสามารถในการกู้ยืมของผู้กู้ด้วย:

    1. Cash Flow to Service Debt
    2. Net Worth/Collateral

    SiamQuant-Long-Term-Debt-Cycle-UpSwing.png

    ภาพที่ 9 : การแกว่งขึ้น (Up Swing) ของ The Long Term Debt Cycle

    และจะเห็นได้ว่าความสามารถในการกู้ยืมนั้นมีลักษณะที่สามารถเพิ่มขึ้นจากกระบวนการ Self Reinforcing ได้เช่น สมมุติว่าคุณมีรายได้ $100,000 ต่อปี มีสินทรัพย์สุทธิ $100,000 และไม่มีหนี้ คุณจะมีความสามารถในการกู้ $10,000 ต่อปี ทำให้คุณสามารถใช้จ่ายได้ $110,000 ต่อปี แม้ว่าคุณจะมีรายได้เพียง $100,000 ต่อปีก็ตาม ในช่วงขาขึ้นของวงจรหนี้ระยะยาวภาระหนี้สินของทั้งระบบเศรษฐกิจจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆสัมพันธ์กับ a) ปริมาณในระบบที่หมุนเวียนเพิ่มขึ้น b) จำนวนเงินที่ปล่อยกู้เพิ่มขึ้น

    โดยทั่วไปขาขึ้นของวงจรหนี้ระยะยาวนี้จะสามารถอยู่ไปได้หลายทศวรรษ โดยการแกว่งตัวในระยะสั้นขึ้นอยู่กับนโยบายดอกเบี้ยจากธนาคารกลางว่าจะมีมาตรการเข้มงวด (Tightening) และผ่อนคลาด (Easing) เครดิต (ซึ่งก่อให้เกิด Business Cycle) มากแค่ไหน

    แต่อย่างไรก็ตามวงจรนี้ไม่สามารถเป็นขาขึ้นไปได้ตลอดไป ในที่สุดเมื่อภาระหนี้ที่ต้องจ่าย (Debt Service Payment) เพิ่มขึ้นจนเท่ากับหรือมากกว่าจำนวนที่สามารถกู้ยืมได้ จะส่งผลให้การใช้จ่ายเริ่มลดลง และเมื่อหนี้ไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้อีก ระบบก็จะเปลี่ยนทิศทางกลายมาเป็นขาลงหรือ Deleveraging

    เมื่อการกู้ยืมคือการเอาเงินที่ใช้จ่ายในอนาคตมาใช้ก่อน เพราะฉะนั้นคนที่เคยใช้จ่ายเงิน $110,000 ต่อปี แต่มีรายได้เพียง $100,000 ต่อปี ก็มีความจำเป็นต้องลดการใช้จ่ายลงเหลือ $90,000 ต่อปี ตามจำนวนปีที่ได้เคยใช้จ่ายไปเป็นจำนวน $110,000 ต่อปี ถึงจะทำให้รายได้กับค่าใช้จ่ายมีค่ากลับมาเท่ากัน

    “จริงๆแล้วภาระหนี้ที่ต้องจ่าย (Debt Service Payment) ต่างหากที่เป็นเหตุให้เกิดภาวะหนี้บีบรัด (Credit Squeeze) และทำให้เกิดการชะลอตัวของเศรษฐกิจมากกว่าสัดส่วนหนี้ต่อ GDP ที่สูง”

    ภาพที่ 10 : Chart 2 แสดงตัวเลขหนี้ต่อ GDP ของสหรัฐตั้งแต่ปี 1916-2011


    ระดับของหนี้ (Debt Level) นั้นไม่ใช่ปัญหาแต่เป็นระดับของเงินสดที่นำไปจ่ายหนี้ต่างหากที่ทำให้เกิดภาวะหนี้บีบรัดยกตัวอย่างเช่น ถ้าอัตราดอกเบี้ยมีการลดลงมากพอ การเพิ่มขึ้นของหนี้จะไม่ทำให้ภาระหนี้ที่ต้องจ่าย (Debt service payment) เพิ่มขึ้นมากพอที่จะทำให้เกิดการบีบรัด (Squeeze)

    ในภาพที่ 11 Chart 3 แสดงภาระดอกเบี้ย (Interest Burden), การผ่อนชำระเงินต้น (Amortization) และ ภาระหนี้ที่ต้องจ่ายทั้งหมด (Total Debt Service) ในภาคครัวเรือนของสหรัฐย้อนหลังไปถึงปี ค.ศ.1920 โดยเราเลือกที่จะแสดงในส่วนนี้ เพราะว่าภาคครัวเรือน (Household) คือส่วนที่สำคัญที่สุดของเศรษฐกิจ (อย่างไรก็ตามหลักการนี้สามารถนำไปใช้ได้ดีกับทุกภาคส่วน)

    ภาพที่ 11 : Chart 3 อัตราส่วนหนี้ต่อรายได้ของภาคครัวเรือนสหรัฐตั้งแต่ปี ค.ศ. 1920-2009

    ดังที่แสดงในภาพที่ 11 ภาระหนี้ที่ต้องจ่ายทั้งหมด (Total Debt Service Burden) ในปี ค.ศ. 2008 เพิ่มขึ้นไปจนถึงจุดสูงที่สุดอีกครั้งหลังจากที่เคยเกิดขึ้นในช่วง The Great Depression แล้วอะไรกันคือสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดการกลับตัว?
    SiamQuant-Long-Term-Debt-Cycle-DownSwing.png

    ภาพที่ 12 : การแกว่งลง (Down Swing) ของ The Long Term Debt Cycle

    จุดสูงสุดของ Long-term debt Cycle คือจุดที่:

    1. ภาระหนี้สูง
    2. นโยบายการเงิน (การลดดอกเบี้ย) ไม่สามารถส่งเสริมให้เกิดการเติบโตของหนี้ได้อีกต่อไป

    ที่จุดนั้นเองที่หนี้จะไม่อาจที่จะเติบโตได้อีกต่อไป และนั้นคือการเริ่มต้นของกระบวนการ Deleveraging ซึ่งก็คือการปรับสมดุลให้สัดส่่วนภาระหนี้ที่ต้องจ่ายทั้งหมดต่อรายได้ลดลง

    กระบวนการ Deleveraging จะเริ่มเกิดขึ้นเมื่อลูกหนี้ขาดแคลนเงินที่ต้องนำไปจ่ายชำระหนี้และนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งเมื่อการผิดนัดชำระหนี้จำนวนมหาศาลเกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจ การลดค่าใช้จ่ายเพื่อต้นทุนของทั้งภาคธุรกิจ, ครัวเรือน และสถาบันการเงินก็จะตามมา ซึ่งส่งผลทำให้อัตราการว่างงานสูงขึ้นและทำให้รายได้ของภาคครัวเรือนลดลงอีก

    ปัญหาเกี่ยวกับหนี้เสียนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่สาเหตุที่คลาสสิคที่สุดคือ การกู้ยืมมาเพื่อลงทุน (Leverage) ในสินทรัพย์ที่มีราคาสูงเกินความจริง เหตุเพราะประเมินผลตอบแทนในอนาคตสูงเกินไป ซึ่งผลที่ได้รับก็คือกระแสเงินสดที่ได้จากการลงทุนไม่เพียงพอในการชำระหนี้คืน บ่อยครั้งที่กระแสเงินสดขาดแคลน เพราะนโยบายรัดเข็มขัดการเงินของธนาคารกลางในการกำจัดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดภาวะฟองสบู่นั้นถูกนำมาใช้ล่าช้าเกินไป

    “นโยบายรัดกุม (Tightening Policy) ทางการเงินนี้เองที่เป็นตัวก่อกระตุ้นให้เกิดกระบวนการ Deleveraging”

    ภาวะเงินเฟ้อในสินทรัพย์ทางการเงินนั้นมีความอันตรายมากกว่าภาวะเงินเฟ้อในสินค้าและบริการ เพราะว่า ภาวะเงินเฟ้อในสินทรัพย์ทางการเงินถูกประเมินว่าเหมือนเป็นเรื่องที่ดีและทำให้ไม่ได้มีการป้องกัน ถึงแม้ว่ามันเองก็ก่อให้เกิดผลร้ายเช่นเดียวกับการก่อหนี้เกินขนาด (Over-indebtedness) ในรูปแบบอื่นๆ


    โดยส่วนใหญ่แล้วธนาคารกลางจะทำการลดดอกเบี้ยลงเพื่อตอบรับกับภาวะเศรษฐกิจซบเซาลง
    แต่เมื่อเศรษฐกิจมาถึงจุดที่ดอกเบี้ยถูกลดลงจนเหลือ 0% ซึ่งทำให้ธนาคารกลางสูญเสียความสามารถในการใช้นโยบายการเงินในการบรรเทาภาระหนี้ (Debt Burden), กระตุ้นการเติบโตภาคเอกชน และการทำให้ราคาสินทรัพย์ทางการเงินเพิ่มสูงขึ้น

    ในสภาวะเช่นนี้ทำให้ผู้ซื้อสินทรัพย์ทางการเงินเกิดความไม่มั่นใจว่ามูลค่าของเงินสดที่ลงทุนในสินทรัพย์จะสูงขึ้นในอนาคตรึเปล่า และนี่เองเป็นเหตุผลที่ทำให้นโยบายการเงินไร้ประสิทธิภาพที่จะแก้ไขความไม่สมดุลนี้โดยเหลือแต่การ Deleveraging เท่านั้นที่จะคืนสมดุลสู่ระบบได้

    เรามาทบทวนกันโดยวิธีการ Deleveraging นั้นจะมีทั้งหมด 4 วิธี ด้วยกัน

    1. การลดหนี้ (Debt Reduction)
    2. การรัดเข็มขัดทางการเงิน (Austerity)
    3. การกระจายความมั่งคั่ง (Transfer of Wealth)
    4. การพิมพ์เงินเพื่อชำระหนี้ (Debt Monetization)

    ทั้ง 4 วิธีนี้ต่างก็ลดอัตราส่วนหนี้ต่อรายได้ (Debt/Income Ratio) เหมือนกันแต่มีผลกระทบกับการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่แตกต่างกัน

    การลดหนี้ (Debt Reduction) และการรัดเข็มขัด (Austerity) เป็นวิธีที่ก่อให้เกิดภาวะเงินฝืด (Deflationary) และการชะลอตัวของเศรษฐกิจ (Depressing)

    ตรงกันข้ามการพิมพ์เงินเพื่อชำระหนี้ (Debt Monetization) เป็นวิธีที่ก่อภาวะเงินเฟ้อ (Inflationary) และกระตุ้นเศรษฐกิจ (Stimulative) โดยการกระจายความมั่งคั่ง (Transfers of wealth) สามารถเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบ แต่ส่วนใหญ่มักไม่มีนัยยะกับกระบวนการ Deleveraging โดยผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของการ Deleveraging นั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมาข้างต้น

    โดยปกติแล้ว Depression จะเกิดขึ้นในช่วงแรกของกระบวนการ Deleveraging โดยเกิดเมื่อกระบวนการผิดนัดชำระหนี้ ( Default) และการรัดเข็มขัดทางการเงิน ( Austerity) ครอบคลุมไปทั้งระบบเศรษฐกิจ โดยในช่วงแรกของการ Deleveraging นั้น เงินที่เข้ามายังผู้กู้ซึ่งก็คือรายได้และการกู้ยืมนั้นไม่เพียงพอในการชำระภาระหนี้ต่างๆ ดังนั้นสินทรัพย์จึงถูกนำไปขายเพื่อนำเงินสดมาใช้จ่ายหนี้ ซึ่งทำให้มูลค่าตลาดของสินทรัพย์ลดลง ส่งผลให้ผู้กู้มีหลักประกันน้อยลง ซึ่งวนกลับมาทำให้รายได้ลดลง

    เมื่อหลักประกันและรายได้ลดลงจำนวนผู้กู้ที่น่าเชื่อถือจึงลดลง และเมื่อความมั่งคั่งสุทธิ (Net worth) และรายได้ลดลงเร็วกว่าหนี้ ผู้กู้จะกลายเป็นผู้ที่ไร้ความน่าเชื่อถือและผู้ให้กู้ก็จะกลายเป็นผู้ไม่เต็มใจให้กู้ ในช่วงของการหดตัวของเงินกู้แบบนี้จะดำเนินไปในแบบที่ Self Reinforcing เช่นกัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่อัตราหนี้ต่อรายรับ (Debt/Income) และหนี้ต่อรายได้สุทธิ (Debt/Net worth) พุ่งสูงขึ้น โดยสาเหตุคือ

    1. ไม่มีเงินมาชำระภาระหนี้ที่ต้องจ่าย (Debt service) ได้ ซึ่งกรณีนี้แย่ต่อทั้งผู้กู้ (Borrower) และผู้ให้กู้ (Lender) เพราะหนี้คือสินทรัพย์ของผู้ให้กู้ จึงทำให้ของความมั่งคั่งสุทธิและความสามารถในการกู้ของอีกคนลดลงและเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆทั้งระบบเศรษฐกิจ
    2. การใช้จ่ายลดลงทำให้รายได้ของธุรกิจลดลง ซึ่งรายได้ที่ลดลงก็ทำให้ความสามารถในการใช้จ่ายของธุรกิจลดลงต่อไปเรื่อยๆแบบ Self Reinforcing

    ภาพที่ 13 : Chart 4 อัตราส่วนหนี้ครัวเรีือนต่อความมั่งคั่งสุทธิตั้งแต่ปี ค.ศ. 1921-2010

    Chart 4 แสดงหนี้ส่วนของภาคครัวเรือน (House Hold Debt) เทียบกับของความมั่งคั่งสุทธิ (Net Worth) ซึ่งทำให้เราเห็นว่าอัตราการกู้ยืม ( Leverage ratio) พุ่งสูงขึ้นจากตอนแรกที่สูงอยู่แล้วช่วงที่เกิด The Great Depression ในปี ค.ศ. 1930 การหดตัวของความมั่งคั่งสุทธิเกิดจากการลดลงของราคาอสังหาริมทรัพย์และราคาหุ้น จากที่เคยกล่าวไปก่อนหน้าแล้วว่าในระบบ Credit-based economy ความสามารถในการใช้จ่ายจะขยายตัวตามความสามารถในการกู้ยืม ซึ่งการที่จะเป็นเช่นนั้นผู้ให้กู้จะต้องมีความ เชื่อว่า

    1. เงินที่จะได้รับคืนนั้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นและเอาชนะสภาวะเงินเฟ้อได้
    2. พวกเขาสามารถที่จะเปลี่ยนหนี้ไปเป็นเงินได้

    ในสภาวะเศรษฐกิจซบเซา (Recession) ที่การลดดอกเบี้ยและอัดฉีดเงินเข้าในระบบสามารถคืนความสมดุลสู่ระบบเศษฐกิจได้ แต่ในภาวะ Deleveraging นั้นผู้ให้กู้ (Lender) กังวลว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้นเพราะนโยบายทางการเงินจะไร้ความสามารถในการสร้างเครดิต เนื่องดอกเบี้ยอยู่ที่ 0% อยู่แล้วทำให้การขยายตัวของเครดิตนั้นเป็นไปได้ยาก โดยผู้ยืม (Borrower) เองต่างก็อยู่ในสภาวะที่มีหนี้สูงทำให้การกู้ยืมเพื่มเป็นไปได้ยาก และด้วยสภาวะ Inflationary Deleveraging เงินที่อัดฉีดเข้าไปนั้นจะถูกใช้ไปในการซื้อสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (Inflation Hedge Asset) หรือค่าเงินของประเทศอื่นเพราะนักลงทุนกลัวว่าการให้กู้จะได้รับเงินที่มีมูลค่าลดลงการที่จะบรรเทาความไม่สมดุล

    เพื่อการที่จะแก้ไขความไม่สมดุลนี้ รัฐบาลไม่สามารถหลักเลี่ยงที่จะ

    1. ออกโนบายสนับสนุนให้เกิดการสร้างเครดิต
    2. ผ่อนคลายข้อบังคับบางอย่างเพื่อให้ผู้กู้มีเงินไปชำระหนี้ (การ Hair Cut หนี้หรือยกหนี้)
    3. ธนาคารกลางพิมพ์เงิน นำไปซื้อสินค้า,บริการ,สินทรัพย์ทางการเงิน โดยจำนวณเงินที่เพิ่มขึ้นใน ระบบเศรษฐกิจจะปรากฏอยู่ในงบดุลของธนาคารกลางที่ขยายตัวขึ้น
    4. รัฐบาลกลางเพิ่มการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการดำเนินนโยบายขาดดุล

    ภาพที่ 14 : Chart แสดงดอกเบี้ยระยะสั้นตกไปที่ 0% ในช่วงปี ค.ศ.1930-1932 และปี ค.ศ. 2007-2008

        

    ภาพที่ 15 : Chart แสดงการเปลี่ยนแปลงของเงิน (M0) โดยธนาคารกลางทำการพิมพ์เงินและเพิ่มการใช้จ่ายเงิน

    ภาพที่ 16 : Chart แสดงภาวะขาดดุลอย่างรุนแรงของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

    จะเห็นได้ว่า3 สิ่งนี้จะเกิดขึ้นพร้อมๆกันในช่วงเวลาที่เกิดกระบวนการ Deleveraging

    โดยส่วนมากกระบวนการ Deleveraging นั้นจะค่อยๆมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการกระตุ้นตอนแรกนั้นมักไม่เพียงพอในการแก้ไขความไม่สมดุลของระบบ ความพยายามที่ไม่ประสบผลสำเร็จนั้นจะปรากฏให้เห็นชัดเจนในช่วงตลาดหุ้นขาลงที่มีการดีดตัวกลับ (Bear Market Bounce) ตัวอย่างเช่น ในช่วงตลาดหุ้นขาลงช่วง The Great Depression ตลาดสูญเสียมูลค่าไปถึง 89% จากจุดสูงสุด แต่ก็มีการดีดตัวครั้งใหญ่ (ระหว่าง 21% – 48%) ของตลาดหุ้นขาลงถึง 6 ครั้ง ซึ่งทุกครั้งก็มาจากความพยายามของภาครัฐที่จะปรับสมดุลในระบบการเงิน

    การที่เศรษฐกิจจะกลับไปสู่สภาพแวดล้อมที่มีการสะสมทุน (Capital Formation) และกิจกรรมทางเศรษฐกิจ (Economic activity) ในระดับที่ปกติได้นั้น จะเกิดขึ้นได้เมื่อรากฐานของความไม่สมดุลถูกกำจัดออกไป ทำให้ผู้มีความสามารถจัดหาเงินทุน (Investor/Lenders) เต็มใจที่จะจัดหาเงินให้แก่ผู้มีความสามารถที่จะรับเงินทุน (Borrower/Seller of Equity) เพื่อแลกกับการได้รับเงินกลับคืนมาในมูลค่าที่มากขึ้น และในที่สุดเมื่อ “การพิมพ์เงิน” เพียงพอต่อการลบล้างผลจากภาวะเงินฝืดจากมาตรการลดหนี้ (Debt Reduction) และการรัดเข็มขัด (Austerity) เมื่อความสมดุลนี้เกิดขึ้นภาระหนี้ (Debt Burden) ต่อรายได้ก็จะลดลงและเศรษฐกิจก็จะมีการเติบโตไปในทิศทางบวกอีกครั้ง (ช่วงปี ค.ศ. 1933-1937)

    ภาวะ Depression ช่วงทศวรรษที่ 30 ของสหรัฐฯนั้น นักวิชาการหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าปัญหาเศรษฐกิจหดตัว (Economic Depression) นั้น เกิดขึ้นในเชิงจิตวิทยาโดยเกิดขึ้นจากความหวาดกลัวของนักลงทุนทำให้มีการย้ายเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ความเสื่ยงต่ำ (เช่นพันธบัตรรัฐบาล) และคิดว่าปัญหานี้จะสามารถแก้ไขได้ด้วยการเกลี้ยกล่อมให้นักลงทุนนำเงินกลับไปลงทุนสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง (หุ้น,การปล่อยกู้) ซึ่งจริงๆแล้วปัญหาเกิดมาจากความสัมพันธ์ของอุปสงค์อุปทานของเงิน, เครดิต, สินค้า และบริการที่ถึงแม้เราจะทำการลบความทรงจำของทุกคนออกไป แต่พอตื่นขึ้นมาปัญหานี้ก็ยังคงมีอยู่ ลูกหนี้ก็ยังไม่มีเงินไปชำระหนี้สิน เพราะว่าหนี้สินมีขนาดใหญ่เกินไปเมื่อเทียบกับรายรับ ถึงแม้ธนาคารกลางทำการพิมพ์เงินออกมาเพื่อเพิ่มปริมาณเงินในระบบ แต่ก็จะทำให้มูลค่าของเงินลดลงอยู่ดีทำให้ผู้ปล่อยกู้นั้นไม่มั่นใจว่าจะได้เงินกลับมาพร้อมผลตอบแทนที่พอใจ  

    ซึ่งส่วนที่เป็นเนื้อหาสำคัญของกระบวนการ Deleveraging คือ การที่ประชาชนมีความคิดที่ว่าความมั่งคั่งของพวกเขานั้นไม่มีตัวตนอยู่จริง เมื่อนักลงทุนพยายามที่จะแปลงสินทรัพย์ที่ลงทุนไว้มาเป็นเงินสดสภาพคล่องในการลงทุนพวกนั้นจึงถูกทดสอบ ซึ่งในกรณีที่การลงทุนมีสภาพคล่องที่ต่ำจะก่อให้เกิดความตื่นตระหนกให้ทุกคนขายสินทรัพย์เหล่านั้นในราคาที่ต่ำเพียงเพื่อต้องการเงินสดมาเก็บไว้ และความตื่นตระหนกนั้นยังทำให้ธนาคารมีปัญหาในการเพิ่มเงินและเครดิตให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนอีกด้วย

    และเมื่อภาคธนาคารล้มเหลว ในเวลานั้นเองรัฐบาลถูกบังคับให้ตัดสินใจให้ช่วยเหลือภาคธนาคารด้วยการจัดหาเงินให้ (จัดสรรมาจากงบประมาณ) หรือผ่านการพิมพ์เงินของธนาคารกลาง โดยรัฐบาลจำเป็นต้องทำทั้งสองวิธีและใช้มันด้วยสัดส่วนที่เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ โดยดูว่าอะไรที่เป็นตัวบอกว่ากระบวนการ Deleveraging ควรใช้แบบ Deflationary หรือแบบ Inflationary เพื่อหาขอบเขตในการพิมพ์เงินของธนาคาร กลางที่จะสามารถลบล้างผลกระทบจากการหดตัวของเครดิต

    Deleveraging.png

    ภาพที่ 17 : ความแตกต่างของ Deflationary และ Inflationary Deleveraging

    รัฐบาลที่มีระบบการเงินแบบ Commodity-based System จะมีข้อจำกัดค่อนข้างมากในการ “พิมพ์เงิน” ในขณะที่ระบบการเงินแบบ Fiat System มีข้อจำกัดที่น้อยกว่า การที่ธนาคารกลางการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน(ลดดอกเบี้ย) ทำให้นักลงทุนย้ายเงินลงทุนไปยังการลงทุนความเสี่ยงต่ำ (พันธบัตรรัฐบาล) ทำให้เกิดการลดดอกเบี้ยระยะสั้นของรัฐบาลและเพิ่มส่วนต่าง (Spread) ผลตอบแทนระหว่างพันธบัตรระยะสั้นและระยะยาวเพื่อช่วยขยายเครดิตและส่วนชดเชยสภาพคล่อง (ของรัฐบาล) ส่วนผู้ประกอบการเอกชนส่วนใหญ่ที่เงินหรือเครดิตไม่เพียงพอต่อความต้องการในการชำระภาระหนี้ก็จะผิดนัดชำระหนี้และล้มละลาย

    รัฐบาลที่มีระบบการเงินแบบ Commodity-Based System จะถูกบังคับให้ดำเนินนโยบายขาดดุลน้อยกว่า และใช้นโยบายเงินตึงตัวที่มากกว่ารัฐบาลที่ใช้ระบบการเงินแบบ Fiat System ถึงแม้ว่าในที่สุดทั้งสองระบบ จะต้องทำการพิมพ์เงิน (โดยรัฐบาลที่ใช้ระบบการเงินแบบ Commodity-Based อาจจะทำการเปลี่ยนระบบการเงินไปใช้ Fiat System หรือทำการควบคุมราคาของสินค้าโภคภัณฑ์ที่ผูกกับค่าเงินไว้เพื่อที่จะพิมพ์เงินได้มากกว่าเดิม) แต่ก็มีผลสะท้อนกลับให้เกิดการเติบโตในอัตรารวดเร็วของปริมาณเงินในระบบในช่วงเวลาที่เครดิตและกิจกรรมทางเศรษฐกิจกำลังหดตัว

    เมื่อการเพิ่มขึ้นของเงินมากเพียงพอจะก่อให้เกิดการเสื่อมมูลค่าของเงิน อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจะผลักดันให้นักลงทุนย้ายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (Inflation Hedge Asset) ซึ่งเหตุการณ์นี้มักจะเกิดขึ้นเมื่อนักลงทุน อยากที่จะย้ายเงินของตนออกจากสกุลเงินนี้และได้พิจารณาแล้วว่าพันธบัตรรัฐบาลไม่ใช้การลงทุนที่ปลอดภัยอีกต่อไป

    เมื่อรัฐบาลต้องการเงินรัฐบาลจึงทำการขึ้นภาษีสำหรับผู้ที่ร่ำรวยในรูปแบบของภาษีเงินได้ (Income Tax), ภาษีการบริโภค (Comsumption Tax) และภาษีมรดก (Inheritance Tax) เนื่องความมั่งคั่งและรายได้ส่วนใหญ่ในระบบเศรษฐกิจนั้นมักอยู่กับประชากรส่วนน้อย โดยเฉพาะกลุ่มนายทุนที่ทำเงินได้มหาศาลในการปล่อยกู้ในช่วงที่เศรษฐกิจเฟื่องฟู แต่ด้วยการชลอตัวของการบริโภคของทั้งระบบเศรษฐกิจทำให้รายได้จากการเก็บภาษีนั้นไม่ได้มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ

    เมื่อผู้ร่ำรวยมั่งคั่งได้เผชิญกับการสูญเสียความมั่งคังอย่างมหาศาลในทุกรูปแบบ ทั้งจากถดถอยของมูลค่าพอร์ตโฟลิโอ, จากการถดถอยของรายได้ และจากการเพิ่มขึ้นของอัตราภาษี ส่งผลให้พวกเขาเกิดแรงจูงใจที่จะย้ายเงินออกนอกประเทศ (ทำให้ค่าเงินอ่อน) หลีกเลี่ยงภาษีและลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่เกี่ยงข้องกับเครดิต เมื่อเงินถูกย้ายออกนอกประเทศก็เป็นอีกครั้งที่ธนาคารต้องตัดสินใจเลือกระหว่าง “พิมพ์เงิน” ซึ่งทำให้มูลค่าของเงินลดลงไปอีกกับ ”ไม่พิมพ์เงิน” เพื่อให้มูลค่าของเงินยังคงเดิมอยู่ โดยสุดท้ายแล้วพวกเขานั้นไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะ “พิมพ์เงิน” เพิ่มได้ การถดถอยของมูลค่าเงินนั้นโดยปกติแล้วเป็นที่ยอมรับได้สำหรับรัฐบาลเพราะว่า การอ่อนค่าของเงินนั้นช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจและยังช่วยลบล้างความกดดันจากภาวะเงินฝืดด้วย (Deflationary)

    ความเสี่ยงของกระบวนการนี้คือ การอ่อนค่าของเงินและการเพิ่มขึ้นของอุปทานของเงินจะนำไปสู่ปัญหาในเครดิตระยะสั้น (Short-term credit) และทำให้เกิดการย้ายเงินไปซื้อสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (Inflation Hedge Asset) แทนการนำไปสร้างเครดิตและทำให้เงินทุนไหลออก เพราะสำหรับนักลงทุนต่างประเทศการถือครองเครดิตในสกุลเงินนี้นั้น ไม่ใช่สิ่งที่น่าพึ่งพอใจสำหรับนักลงทุนภายในประเทศก็จะทำการถอนเงินออกมาแล้วเข้าถือเงินสกุลต่างชาติ

    จึงเป็นอีกครั้งที่รัฐบาลต้องเลือกว่าจะเพิ่มอุปทานของเงิน เพื่อเอื้ออำนวยต่ออุปสงค์ต่อเงินหรือใช้นโยบาย คาดเข็มขัดและเพิ่มอัตราดอกเบี้ย โดยในบางครั้งรัฐบาลจำกัดความเคลื่อนไหวนี้ด้วยการจัดตั้งการควบคุม การแลกเปลี่ยนค่าเงินและการห้ามการเป็นเจ้าของทองคำ ซึ่งบางครั้งก่อให้เกิดความผิดเพี้ยนของเศรษฐกิจมากขึ้นไปอีกแทนที่จะบรรเทามัน

    “แม้ว่ากระบวนการ Deleveraging ดูเป็นอะไรที่น่ากลัวและก่อให้เกิดช่วงเวลาที่ยากลำบาก ซึ่งในบางกรณีนำมาซึ่งสงครามแต่นี้ก็คือ วิธีของระบบตลาดเสรีในการแก้ไขปรับสมดุลรากฐานที่ไร้ความสมดุลของระบบเศรษฐกิจและกลับมาในสภาวะที่แข็งแรงกว่าเดิม”

    การถดถอยของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และของการเติบโตของเครดิต นั้นมักจะเกิดขึ้นในเวลาที่รวดเร็วประมาณ 2-3 ปี แต่ในการฟื้นฟูตัวนั้น มีแนวโน้มที่จะเป็นไปอย่างช้าๆ สำหรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจนั้นใช้เวลาประมาณ 10 ปี ในการกลับไปสู่ระดับสูงสุดเดิม และสำหรับในราคาหุ้นนั้นอาจจะใช้เวลาที่ยาวนานกว่านั้น

    The Short-Term Debt Cycle

    วงจรหนี้ระยะสั้น (Short Term Debt Cycle) หรือเรียกอีกอย่างว่าวงจรธุรกิจ (Business Cycle) โดยพื้นฐานแล้วถูกควบคุมโดยนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลาง ซึ่งมีดังนี้

    1. นโยบายเงินตึงตัว (ปรับขึ้นดอกเบี้ย) จะใช้เมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อสูงและเมื่อเครดิตเติบโตเร็วเกินไป
    2. นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน (ปรับลดดอกเบี้ย) จะใช้เมื่อเกิดภาวะเงินฝืดและต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ

    โดยวงจรหนี้ระยะสั้นนั้นถูกแบ่งออกเป็น 6 ระยะ โดยเป็นระยะขยายตัว 4 ระยะ และระยะหดตัว 2 ระยะ

    Short-Term-Debt-Cycle.png

    ภาพที่ 18 : บทบาทของนโยบายการเงินในวงจรหนี้ระยะสั้น

    ระยะขยายตัว (Expansion Phase) ของวงจรหนี้ระยะสั้นประกอบด้วย

    ช่วงเริ่มต้นของวงจรขาขึ้น (Early Cycle ระยะเวลาประมาณ 5 -6 ไตรมาส) เนื่องจากดอกเบี้ยที่ต่ำและมีเครดิตที่พร้อมให้บริการในจำนวนมาก ส่งผลให้อุปสงค์ในสินค้าและบริการที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Sensitive Items) เช่นรถยนต์และบ้านเพิ่มขึ้น โดยการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์นี้ดึงให้ปริมาณการผลิตสูงขึ้นตาม ส่งผลทำให้เกิดการจ้างงานมากขึ้น เกิดการเติบโตของเครดิต และทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว (มากกว่า 4%) โดยเงินเฟ้อยังอยู่ระดับต่ำ ในช่วงเริ่มต้นวงจรนั้นการลงทุนในตลาดหุ้นจะเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด สวนทางกับการลงทุนในสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (Inflation Hedge Asset) เช่น ทองคำ จะให้ผลตอบแทนที่แย่ที่สุด

    ในช่วงกลางของวงจรขาขึ้น (Mid Cycle ระยะเวลาประมาณ 3-4 ไตรมาส) การเติบโตของเศรษฐกิจจะช้าลงอย่างเห็นได้ชัด (ประมาณ 2%) ภาวะเงินเฟ้อยังคงต่ำอยู่ แต่การเติบโตของการบริโภคเป็นไปอย่างช้าลง ตลาดหุ้นลดความร้อนแรงลงและราคาสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (Inflation Hedge Asset) เริ่มทรงตัว

    ในช่วงท้ายของวงจรขาขึ้น (Late Cycle ระยะเวลาประมาณ 2.5 ปีหลังจาก Early Cycle) อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจะกลับมาอยู่ในระดับปานกลาง (ประมาณ 3.5-4%) เริ่มเกิดข้อจำกัดของอุปทาน (Supply) ในภาคการผลิตแต่เครดิตและอุปสงค์ยังคงเติบโตอย่างแข็งแรง ภาวะเงินเฟ้อเริ่มมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้น อัตราดอกเบี้ยเริ่มขยับขึ้น การบริโภคยังขยับขึ้นและตลาดหุ้นจะเริ่มลงจากจุดสูงสุด โดยกลับกันราคาสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (Inflation Hedge Asset) กลายเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด

    จุดสิ้นสุดของวงจรขาขึ้นคือ ระยะการตึงตัว (Tightening Phase) โดยในระยะนี้ภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นโดยฉับพลัน ทำให้ธนาคารกลางต้องจำกัดขอบเขตด้วยการลดสภาพคล่องและเพิ่มอัตราดอกเบี้ยซึ่งเป็นเหตุให้อุปทานของเงินและการเติบโตของเครดิตลดลง และตามมาด้วยการถดถอยของตลาดหุ้น

    ระยะการหดตัว (Recession Phase) ของวงจรหนี้ระยะสั้นเกิดขึ้นโดยแบ่งเป็น 2 ระยะ

    ระยะแรก (Early Part of Recession) เศรษฐกิจมีการหดตัว สินทรัพย์ทางการเงินทุกชนิดมูลค่าลดลงและเงินเฟ้อลดลงเพราะนโยบายเงินตึงตัวของธนาคารจากจุดสิ้นสุดวงจรขาขึ้น

    ระยะหลัง (Late Part of Recession) ธนาคารกลางเริ่มใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพราะเริ่มคลายกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อแต่มีความกังวลต่ออัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจเข้ามาแทน และเมื่อมีการลดอัตราดอกเบี้ย ราคาหุ้นก็จะเริ่มฟื้นตัวโดยราคาของสินค้าโภคภัณฑ์และทองคำยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งก็เป็นการเตรียมพร้อมที่เกิดวงจรหนี้ระยะสั้นอีกรอบ

    “ที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนเป็นวงจรที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติของมนุษย์ และระบบเศรษฐกิจ โดยทุกคนต่างก็ขับเคลื่อนและตอบสนองไปด้วยตรรกะแห่งผลประโยชน์ ซึ่งผลลัพธ์ของมันนั้นทำให้กลไกของเศรษฐกิจดำเนินไปเหมือนเป็นเครื่องจักรนั่นเอง”

    จากผู้จัดทำ

    เป็นยังไงกันมั่งครับสำหรับบทความ “How The Economic Machine Works ?” ของคุณ Ray Dalio โดยทั้งผู้แปลและผู้เรียบเรียงหวังว่าหลังจากที่ได้อ่านบทความนี้แล้ว เพื่อนๆพี่ๆน้องๆคงจะได้รับสาระและแนวคิดจากสุดยอดนักลงทุนคนนี้ไม่มากก็น้อยนะครับ สำหรับตัวผมแล้วการที่เราสามารถทำความเข้าใจในหลักการทำงานและเหตุผลของระบบเศรษฐกิจถือว่าเป็นอีกข้อได้เปรียบ (Edge) หนึ่งในการลงทุนเลยครับ


    เกิดเก้า พีรติยุทธ์
    ผู้เรียบเรียง

     

    11.6k
    SHARES
    11.6kFacebookXLine
    How The Economic Machine Works Ray Dalio SiamQuant เศรษฐศาสตร์ แปลไทย
    Koedkao Peeratiyuth

    เกิดเก้า พีรติยุทธ์ (แตม) วิศวกรที่หันมาเดินทางในสายการเงินแบบเต็มตัวมากว่า 10 ปี ด้วย Passion อันแรงกล้าและความคลั่งไคล้ในการลงทุน โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการเผยแพร่และปลูกฝังแนวคิดการลงทุนเชิงวิทยาศาสตร์ให้นักลงทุนไทยได้ลงทุนกันด้วยหลักเหตุและผล ไม่ใช่ไสยศาสตร์ครับ !!

    Related Posts

    รีวิวผลตอบแทน 40 กลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยประจำปี ค.ศ. 2022

    January 4, 2023

    รีวิวผลตอบแทน 40 กลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยของเดือนมกราคมปี ค.ศ. 2022

    February 7, 2022

    คุณมีโอกาสมากแค่ไหนที่จะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีจากการลงทุนในตลาดหุ้น?

    January 17, 2022

    2 Comments

    1. Krittanon Tongsuth on November 24, 2017 10:47 am

      ขอบคุณมากๆครับ ความรุ้นี้มูลค่ามากกว่าทองซะอีก

      Log in to Reply
    Leave A Reply Cancel Reply

    You must be logged in to post a comment.

    Continue with Google
    หมวดหมู่บทความ
    บทความล่าสุด

    สุดยอดสินทรัพย์ทางการเงิน เพื่อการจัดพอร์ตการลงทุนระดับโลกที่ยั่งยืนเหนือกาลเวลา

    November 14, 2025

    มหัศจรรย์แห่งการจัดพอร์ตการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์แบบ Global Strategic Asset Allocation (GSAA)

    November 12, 2025

    🤝 ประกาศความร่วมมือทางธุรกิจระหว่าง SiamQuant และ Krungthai XSpring (KTX)

    November 11, 2025

    ลงทะเบียนรับข่าวสารและบทความ

    กรอก E-Mail ของคุณ เพื่อติดตามข่าวสาร, องค์ความรู้ และงานวิจัยด้านการลงทุนชิ้นใหม่ๆจากพวกเรา Free!

    Social Medias ของเรา
    • YouTube
    • Facebook
    กองทุนส่วนบุคคลเชิงปริมาณ
    Demo
    Facebook YouTube
    © 2025 Copyright by SiamQuant.

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.

    XEmail
    11.6k
    SHARES
    11.6k