Close Menu
SiamQuantSiamQuant
    Facebook YouTube
    Facebook YouTube
    SiamQuantSiamQuant
    ติดต่อเรา
    • กองทุนส่วนบุคคล
    • บทความและงานวิจัย
    • ร่วมงานกับเรา
      • รายละเอียดการรับสมัครทีมงาน
      • Researcher
      • Developer
      • Operations
      • Marketer
    • เกี่ยวกับเรา
      • เกี่ยวกับ SiamQuant
      • นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy)
    • มุมสมาชิก
      • บัญชีของฉัน
      • AlphaClass Video Courses
      • AlphaSuite Installer & Manual
    SiamQuantSiamQuant
    Facebook YouTube
    Home»งานวิจัยและบทความทั้งหมด»องค์ความรู้จากการลงทุนอย่างเป็นระบบ»เก็บหุ้นราคาถูกด้วยค่า P/E หรือ P/BV ดีกว่ากัน?
    องค์ความรู้จากการลงทุนอย่างเป็นระบบ

    เก็บหุ้นราคาถูกด้วยค่า P/E หรือ P/BV ดีกว่ากัน?

    Thanadon PraphutikulBy Thanadon PraphutikulMarch 1, 2020Updated:April 19, 2020No Comments3 Mins Read
    22.8k
    SHARES
    22.8kFacebookXLine

    ผมเชื่อว่าหากพูดถึงวิธีการประเมินและหาหุ้นเชิงคุณค่า (Value Stock) นั้น จริงๆแล้วก็มีอยู่หลายวิธีด้วยกัน โดยหนึ่งในอัตราส่วนที่ผมเชื่อว่านักลงทุนทุกคนน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีนั่นก็คือ อัตราส่วน P/E Ratio และอัตราส่วน P/BV Ratio ซึ่งในกรณีนี้หากหุ้นตัวใดที่มีอัตราส่วนดังกล่าวที่ต่ำกว่าก็จะหมายความว่าเป็นหุ้นที่ซื้อขายกันที่ราคาต่ำกว่ามูลค่า (Discount Price) มากกว่า ยกตัวอย่างเช่น หุ้น A มี PE Ratio ที่ 10 เท่า และ หุ้น B มี PE Ratio ที่ 5 เท่า จะหมายความว่าหุ้น B นั้นซื้อขายในราคาที่ถูกกว่านั่นเอง (แต่อย่างไรก็ตามจะต้องพิจารณาเรื่องการเปรียบเทียบระหว่างรูปแบบธุรกิจและกลุ่มอุตสาหกรรมด้วย)

    อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าคำถามที่ยังมีอยู่ในใจนักลงทุนทุกคนคือ แล้วอัตราส่วนไหนกันแน่ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการวัดมูลค่าของหุ้น? ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักและทดสอบเชิงสถิติกันครับว่าระหว่างตัวแปรอัตราส่วน PE และอัตราส่วน PBV นั้นตัวแปรใดมีประสิทธิภาพมากกว่ากัน โดยผมหวังว่าบทความชิ้นนี้จะมีประโยชน์กับนักลงทุนทุกๆท่านกันครับ

    Table of Contents

    Toggle
    • ทำความรู้จักกับอัตราส่วน PE และ PBV Ratio
    • รายละเอียดการทดสอบวิจัย
    • ผลการทดสอบการเปรียบเทียบ PE และ PBV
    • บทสรุปการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของ PE และ PBV

    ทำความรู้จักกับอัตราส่วน PE และ PBV Ratio

    ถึงแม้ว่าค่า PE และ PBV จะเป็นอัตราส่วนในการวัดความถูกแพงของหุ้นทั้งคู่ แต่จริงๆแล้วความหมายและที่มาของค่า PE และ PBV นั้นกลับแตกต่างกันออกไปโดยสิ้นเชิงซึ่งอ้างอิงจาก คู่มือสูตรการคำนวณค่าสถิติและอัตราส่วนทางการเงินของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดังนี้

    อัตราส่วน PE Ratio คืออัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นสามัญต่อกำไรสุทธิต่อหุ้นสามัญ (EPS) ที่บริษัทนั้นทำได้ในรอบระยะเวลา 12 เดือนหรือในรอบ 1 ปีล่าสุดซึ่งคำนวณได้จาก

    ราคาปิดของหุ้นสามัญ X [(จำนวนหุ้นสามัญ+ จำนวนหุ้นบุริมสิทธิ) – จำนวนหุ้นซื้อคืน] /  กำไรงวด 12 เดือนล่าสุด

    ในขณะที่อัตราส่วน PBV Ratio นั้นคือ อัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นสามัญต่อมูลค่าทางบัญชีของหุ้นสามัญ 1 หุ้นตามงบการเงินล่าสุดของบริษัทผู้ออกหุ้นสามัญ ซึ่งแสดงราคาหุ้น ณ ขณะนั้นเป็นกี่เท่าของมูลค่าทางบัญชีซึ่งคำนวณได้จาก

    ราคาปิดของหุ้นสามัญ X [(จำนวนหุ้นสามัญ+ จำนวนหุ้นบุริมสิทธิ) – จำนวนหุ้นซื้อคืน] /  ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท (รวมมูลค่าหุ้นที่ถือโดยบริษัทย่อย)

    ดังนั้น เราจึงสามารถสรุปได้ว่าอัตราส่วน PE นั้นเป็นการวัดความถูกแพงของหุ้นเทียบกับกำไรของบริษัท (งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ) แต่อัตราส่วน PBV เป็นการวัดความถูกแพงของหุ้นเทียบกับมูลค่าทางบัญชีของบริษัท (งบดุล) นั่นเอง

    รายละเอียดการทดสอบวิจัย

    โดยในส่วนถัดไปนี้เราจะมาลองทำการทดลองเทียบประสิทธิภาพของตัวแปรทั้ง 2 ตัวนี้ โดยเราจะนำกลยุทธ์ลักษณะ Buy & Hold (ซื้อและถือยาว) ที่คัดเลือกหุ้นที่อยู่ในกลุ่ม Top 5 Percentile ทั้งที่มีค่า PE หรือ PBV ที่ต่ำที่สุดมาสร้างพอร์ตโฟลิโอที่เป็นตัวแทนของทั้ง 2 ตัวแปรนี้โดยมีจุดประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความมีประสิทธิภาพของทั้งสองตัวแปรในการสร้างผลตอบแทนโดยมีรายละเอียดการทดสอบวิจัยดังนี้

    Condition Details
    Backtesting Window
    • 01/01/1997 – 31/12/2019 (รวม 23 ปี)
    Backtesting Restriction
    • เงินทุนเริ่มต้น 1 ล้านบาท
    Universe
    • หุ้นทั้งหมดในตลาด (AllStock)
    Entry
    • ซื้อทุกต้นปี SQFirstDayOfYear()
      • Case 1 : มีการกรองไม่เอาหุ้นที่มีค่า PE เป็น 0
      • Case 2 : มีการกรองไม่เอาหุ้นที่มีค่า PBV เป็น 0 
    Exit
    • ขายทุกปลายปี SQLastDayOfYear()
    Filters
    • กรองข้อมูลที่มีความผิดพลาดออกด้วย SQDataFilter(0)
    Position Size
    • กระจายน้ำหนักการลงทุนแบบเท่ากันทุกตัว (Equal-Weighted) โดยจำนวนหุ้นที่ถือครองในพอร์ตโฟลิโอ 5% ของหุ้นทั้งหมด
    Position Score
    • Case 1 : เรียงลำดับจากหุ้นที่มีอัตราส่วน PE ต่ำที่สุด 
    • Case 2 : เรียงลำดับจากหุ้นที่มีอัตราส่วน PBV ต่ำที่สุด

    ตารางที่ 1 : ตารางแสดงเงื่อนไขต่างๆสำหรับการทดสอบตัวแปร PE และ PBV

    ผลการทดสอบการเปรียบเทียบ PE และ PBV

    Portfolio Metrics PE Ratio PBV Ratio SET  Index
    Net Profit 735.43% 3,058.29% 96.71%
    CAGR 9.97% 16.72% 3.08%
    MaxDD -66.76% -79.59% -75.87%
    Longest DD (Month) 83.30 55.95 128.40
    CAR/MDD 0.15 0.21 0..04
    Trade Metrics PE Ratio PBV Ratio SET  Index
    No. of All Trade 447 437 –
    Avg. Bar Held 258.30 292.41 –
    % Win 45.64% 48.05% –
    Avg. Profit/Loss % 16.12% 25.97% –
    Max Consecutive Loss 16 13 –

    ภาพที่ 1 และตารางที่ 2 : ภาพและตารางแสดงผลตอบแทนของพอร์ตโฟลิโอ Undervalue วัดด้วย PBV (เส้นสีเขียว), PE (เส้นสีฟ้า) และดัชนี SET Index (เส้นสีดำ)

    จากภาพและตารางข้างต้นแสดงให้เห็นว่า การคัดเลือกหุ้นคุณค่า (Value Stocks) ด้วยอัตราส่วน PE และ PBV นั้นต่างก็ให้ผลตอบแทนที่เหนือกว่า SET Indexในระยะยาวโดยมีผลตอบแทนโดยเฉลี่ยทบต้นต่อปีหรือ CAGR เท่ากับ 9.97%, 16.72% ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบกับดัชนี SET Index ที่ 3.08% ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจจากการทดสอบนี้คือ การคัดเลือกหุ้นที่อัตราส่วน PBV ต่ำนั้นให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าคัดเลือกหุ้น PE ต่ำอย่างมีนัยยะในตลาดหุ้นไทย โดยให้ค่า CAGR ที่สูงกว่าถึง 67.7% เลยทีเดียว

    ภาพที่ 3 : ภาพและตารางแสดงการเปรียบเทียบ Maximum Drawdown ของพอร์ตโฟลิโอ Undervalue วัดด้วย PBV (เส้นสีเขียว), PE (เส้นสีฟ้า) และดัชนี SET Index (เส้นสีดำ)

    อย่างไรก็ตาม ถ้าหากพิจารณาในด้านความเสี่ยงที่วัดโดย Maximum Drawdown จะพบว่าในกรณีพอร์ตโฟลิโอที่ลงทุนในหุ้น PBV ต่ำกลับนั้นมีความเสี่ยงที่สูงกว่าดัชนี SET Index อย่างมีนัยยะ โดยมีค่าเท่ากับ -79.59% และ -75.87% ตามลำดับ ซึ่ง Maximum Drawdown ทีเ่กิดขึ้นนี้เกิดในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง (1997) นั่นเอง

    แต่การเลือกหุ้นที่ PE ต่ำในช่วงต้มยำกุ้งนั้นกลับมีค่า Maximum Drawdown อยู่ที่ราวๆ -50% เท่านั้น ซึ่งสาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะค่า PE นั้นมีองค์ประกอบที่คำนวณจากกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน โดยในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจนั้น กำไรของบริษัทต่างๆมักจะมีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน (อ่านบทความ วิธีการปกป้องความเสี่ยงจากวิกฤติเศรษฐกิจ ด้วยการมุ่งเน้นลงทุนในหุ้น Growth และ Momentum ได้ที่นี่)  จึงทำให้กลยุทธ์ไปค้นหาหุ้นมูลค่าจากค่า PE นั้น ทำให้เรายังคงเลือกบริษัทจดทะเบียนที่ยังคงมีศักยภาพในการสร้างกำไรจากการดำเนินงานอยู่ได้บ้างนั่นเอง

    บทสรุปการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของ PE และ PBV

    จากผลการทดลองข้างต้นสามารถสรุปเป็นประเด็นที่น่าสนใจได้ดังนี้

    1. ข้อแตกต่างระหว่างค่า PE และค่า PBV คือ องค์ประกอบที่ใช้ในสูตรคำนวณค่าทั้ง 2 โดย ค่า PE นั้นจะมีการคำนวณจากกำไรสุทธิย้อนหลัง 1 ปีของบริษัทซึ่งเป็นค่าที่มาจากงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ ส่วนค่า PBV จะมีการคำนวณจากส่วนของผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นค่าที่มาจากงบดุลการเงิน (Balance Sheet) 
    2. การคัดเลือกหุ้นต่ำกว่ามูลค่า หรือ Undervalued Stock ซึ่งวัดโดย PE และ PBV นั้นในภาพรวมให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าดัชนี SET Index (Outperformance)
    3. ค่าทั้ง 2 นี้ต่างก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน โดยถึงแม้การใช้ค่า PBV จะมีแนวโน้มที่จะสร้างผลตอบแทนทบต้นต่อปี (CAGR) ที่สูงกว่าก็จริง กลับมีค่า Maximum Drawdown สูงกว่าการใช้ค่า PE อย่างมีนัยยะ

    โดยผมหวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์และทำให้เพื่อนๆพี่น้องนักลงทุนสามารถนำแนวคิดไปพัฒนาต่อยอดกลยุทธ์การลงทุนเดิม หรือการนำไปประยุกต์ใช้สร้างกลยุทธการลงทุนใหม่ๆครับ ซึ่งหากใครที่สนใจฐานข้อมูลงบการเงินแบบ Time-Series ด้วย SiamQuant AlphaSuite ที่เราใช้ในงานวิจัยนี้ สามารถดูรายละเอียด ได้ที่นี่ครับ

    22.8k
    SHARES
    22.8kFacebookXLine
    AlphaSuite Low PBV Low PE PE PBV Comparisons SiamQuant
    Thanadon Praphutikul

    ทีมงานวิจัยระบบการลงทุน SiamQuant Alpha Researcher ด้วยความที่ต้องการสร้างผลตอบแทนให้ชนะตลาด จึงเริ่มต้นการลงทุนอย่างเป็นระบบมามากกว่า 5 ปีเพราะทำให้เราสามารถพิสูจน์ถึงแนวคิดการลงทุนต่างๆได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่จับต้องได้จริง ^^

    Related Posts

    สุดยอดสินทรัพย์ทางการเงิน เพื่อการจัดพอร์ตการลงทุนระดับโลกที่ยั่งยืนเหนือกาลเวลา

    November 14, 2025

    มหัศจรรย์แห่งการจัดพอร์ตการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์แบบ Global Strategic Asset Allocation (GSAA)

    November 12, 2025

    ทำไมปี 2023 จึงยังคงเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย?

    December 25, 2023
    Leave A Reply Cancel Reply

    You must be logged in to post a comment.

    Continue with Google
    หมวดหมู่บทความ
    บทความล่าสุด

    สุดยอดสินทรัพย์ทางการเงิน เพื่อการจัดพอร์ตการลงทุนระดับโลกที่ยั่งยืนเหนือกาลเวลา

    November 14, 2025

    มหัศจรรย์แห่งการจัดพอร์ตการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์แบบ Global Strategic Asset Allocation (GSAA)

    November 12, 2025

    🤝 ประกาศความร่วมมือทางธุรกิจระหว่าง SiamQuant และ Krungthai XSpring (KTX)

    November 11, 2025

    ลงทะเบียนรับข่าวสารและบทความ

    กรอก E-Mail ของคุณ เพื่อติดตามข่าวสาร, องค์ความรู้ และงานวิจัยด้านการลงทุนชิ้นใหม่ๆจากพวกเรา Free!

    Social Medias ของเรา
    • YouTube
    • Facebook
    กองทุนส่วนบุคคลเชิงปริมาณ
    Demo
    Facebook YouTube
    © 2025 Copyright by SiamQuant.

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.

    XEmail
    22.8k
    SHARES
    22.8k